เอกสารประกอบการสอน ปีปี การศึ การศึกษา กษา 2552 ลชีววิ ววิทยาและปรสิ ทยาและปรสิตวิ ตวิทยา ทยา รายวิชา ชา 412211 จุลชี Microbiology and Parasitology 4(3-3) วันท่ นท่ี 4 มิถุถนายน นุ ายน 2552 ผศ.ดร.สมชาย แสงอานาจเดช านาจเดช หัวข้ วข้อ
Introduction to Microbiology
เนอื หา
1. 2. 3. 4. 5. 6.
3
คาบ
Introduction to Microbiology: His History and Development Micr Microo oorg rgan anis isms ms Bacter Bacteria: ia: Grow Growth th and and Metab Metaboli olism sm Cultur Culturee media media and cultiv cultivati ation on Norma ormall flo flora ra Noso Nosoco comi mial al inf infec ectition on
หมายเหตุ 1. เอก เอกสารน ใช้ ี ประกอบการสอนในรายวิ ประกอบการสอนในรายวิชา ชา 412211 จุลชี ลชีววิ ววิทยาและปรสิ ทยาและปรสิตวิ ตวิทยา ทยา ั (Microbiology and Parasitology) 4(3-3) ครงแรกเม่อวั อื วันท่ นท่ี 6 มิถุถนายน ุนายน 2545 2. เ ็ ป ็ นเอกสารส นเอกสารสาหรั าหรับอ บอานสร้ านสร้างเสริ างเสริมความเข้ มความเข้าใจส าใจสาหรั าหรับรายวิ บรายวิชา ชา 415241 เทคโนโลยี ชีชวภาพ วี ภาพ (Biotechnology) ื ครังท่ี 1 (มิถุถนายน 3. ปรั บปรุงเน งเนอหา นุ ายน 2552)
1
บทท่ี 1 บทนา วัตถุ ตถุประสงค์ ประสงค์ จุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์ 1. เพื ่ อให้นินสิสิ ตรู ติ ้รูจัจักกลุ กกลุ มของจุ มของจุลิลนิ ทรีย์ยและปรสิ ์และปรสิตท่ ตท่มีมี ผลต ีผลตอสุ อสุขภาพอนามั ขภาพอนามัย 2. เพ ่ ิ อให้ อ่ ให้นินสิสิ ตสามารถอธิ ติ สามารถอธิบายการจั บายการจัดจ ดจาแนกกลุ าแนกกลุ มของจุ มของจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยและสามารถใช้ ์และสามารถใช้หลั หลักการต กการตังช่อื วิทยาศาสตร์ ทยาศาสตร์กักับช่ บช่ือของแบคทีเรี เรีย 3. เพื ่ อให้นินสิสิ ตสามารถบอกความแตกต ติ สามารถบอกความแตกตางระหว างระหวางชนิ างชนิดของเซลล์ ดของเซลล์ของจุ ของจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยประเภท ์ประเภท โปรคา ริ โอทส์ ยูคาริ คาริ โอทส์ และอาร์คีค โอแบคที ี เรี เรีย 4. เพื ่ อให้นินสิสิ ตสามารถอธิ ติ สามารถอธิบายลั บายลักษณะท่ กษณะท่แตกต แี ตกตางกั างกันระหว นระหวางผนั างผนังเซลล์ งเซลล์ของแบคที ของแบคทีเรี เรียแกรม ยแกรม บวกและแกรมลบ และรู ้จัจักส กสวนประกอบท่ วนประกอบท่สสี าคั า คัญของโครงสร้ ญของโครงสร้างของแบคที างของแบคทีเรี เรีย การเจริญและเมตาบอลิ ญและเมตาบอลิสมของแบคที สมของแบคทีเรี เรีย 5. เพื ่ อให้นินสิสิ ตสามารถอธิ ติ สามารถอธิบายระยะการเจริ บายระยะการเจริญต ญตางๆ างๆ ของแบคทีเรี เรีย และปัจจัยท่ ยท่ีมีมผลต ีผลตอการ อการ เจริญของแบคที ญของแบคทีเรี เรีย 6. เพื ่ อให้นินสิสิ ตเข้ ติ เข้าใจกระบวนการเมตาบอลิ าใจกระบวนการเมตาบอลิสมและวิ สมและวิถีถชีชี วเคมี วี เคมีของแบคที ของแบคทีเรี เรีย 7. เพื ่ อให้นินสิสิ ตสามารถบอกความแตกต ติ สามารถบอกความแตกตางระหว างระหวางกระบวนการหมั างกระบวนการหมักและออกซิ กและออกซิเดชัน ี ี อาหารเพาะเลยงแบคที เรี เรียและการเพาะเล ยและการเพาะเลยง ี 8. เพื ่ อให้นินสิสิ ตสามารถบอกชนิ ติ สามารถบอกชนิดของอาหารส ดของอาหารสาหรั าหรับใช้ บใช้เล เลยงแบคที เรี เรีย แบคทีเรี เรียท่ ยท่อาศั อี าศัยในร ยในรางกายมนุ างกายมนุษย์ ษย์ 9. เพื ่ อให้นินสิสิ ตสามารถบอกบริ ติ สามารถบอกบริเวณต เวณตางๆ างๆ ของรางกายท่ างกายท่มีมี แบคที ีแบคทีเรี เรียอาศั ยอาศัยอยู ยอยู 10. 10. เพ่ เพื่ อให้ อให้นินสิสิ ตสามารถบอกแบคที ติ สามารถบอกแบคทีเรี เรียส ยสาาคัคัญชนิ ญชนิดต ดตางๆ างๆ ท่ีอาศั อาศัยตามปกติ ยตามปกติ ในรางกายมนุ างกายมนุษย์ ษย์ ื การติดเช ดเชอในสถานพยาบาล ื มาจากโรงพยาบาล 11. 11. เพ่ เพื่ อให้ อให้นินสิสิ ตรู ติ ้รูจัจักแบคที กแบคทีเรี เรียท่ ยท่มัมี ักเป กเป นสาเหตุของการติ ของการติดเช ดเชอได้ มาจากโรงพยาบาล ็ ็ นสาเหตุ
2
จุลิลนทรี น ิ ทรีย์ย์และความเกี และความเกีย่วข้องทางการแพทย์ องทางการแพทย์และสาธารณสุ และสาธารณสุข จุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์ (Microorg (Microorganism anisms) s) มีวิวิวัวัฒนาการเพ่ ฒนาการเพ่อความอยู อื ความอยู รอดในระบบนิ รอดในระบบนิเวศน์และแหล และแหลงอาศั งอาศัย ท่แตกต ีแตกตางกั างกัน บางชนิดเจริ ดเจริญได้ ญได้อย อยางรวดเร็ างรวดเร็ว บางชนิดเจริ ดเจริญช้ ญช้า บางชนิดสามารถเจริ ดสามารถเจริญได้ ญได้แม้ แม้ ในแหลงท่ งท่ี ั คือมี มีสารอาหารข สารอาหารขนต อมีสารอาหารส สารอาหารสาคั าคัญบางชนิ ญบางชนิดเทาน านัน ขณะท่ีจุจลิลุ นิ ทรีย์ยบางชนิ ์บางชนิดเจริ ดเจริญได้ ญได้ยากเพราะ ยากเพราะ ี ต้องการสารอาหารหลากหลายชนิ องการสารอาหารหลากหลายชนิด นอกจ อกจากน ากนแบคที เรี เรียยั ยยังมี งมีความต้ ความต้องการภาวะของบรรยากาศใน องการภาวะของบรรยากาศใน การเจริญและอุ ญและอุณหภู ณหภูมิมแตกต ิแตกตางกั างกัน จุลิลนทรี นิ ทรีย์ยบางชนิ ์บางชนิดมีแหล แหลงอาศั งอาศัยและสามารถเจริ ยและสามารถเจริญในภาวะของ ญในภาวะของ ื ี รางกา างกายค ยคนน จุลิลนทรี นิ ทรีย์ยเหล เ์ หลาน านมีหลากหลายชนิ หลากหลายชนิด เชนเป น เป นเชอท่อยู อี ยู ประจาาตตาแหน าแหนงในร งในรางกายโดยไม างกายโดยไมกกอ ็ ็ นเช ื ื โรค โรค (norma (normall flora) flora) หรือเป อเป นเชอฉวยโอกาส หรือเช อเชอกอโรค อโรค การท่ี จุจลิลุ นิ ทรีย์ยสามารถมี ์สามารถมีชีชวิวี ิตอยู ตอยู ได้ ใน ็ ็ นเช แหลงอาศั งอาศัยจ ยจาเพาะท่ าเพาะท่แตกต แี ตกตางกั างกัน เน่ เนื่ องจากจุ องจากจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยมีม์ ีคุคณสมบั ุณสมบัติตทางสรี ทิ างสรีรวิ รวิทยา ทยา และว และวิิถีถเมตาบอลิ เี มตาบอลิสมท่ สมท่ี จาเพาะของตนเอง าเพาะของตนเอง ื เป เม่อจุ อื จุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์กกอโรค อ โรคใน ในคน คน บางค บางครรั งจาเป าเป นท่ีต้ตองท ้องทาการแยกเพาะเช าการแยกเพาะเชอท่ เี ็ ป ็ นสาเหตุ นสาเหตุจากผู จากผู ้ปปว ย ็ ็ นท่ ทาาการจ การจาแนกและตรวจเอกลั าแนกและตรวจเอกลักษณ์ กษณ์ ให้ ้รูรูววาเป า เป นชนิดใด ดใด ในบางกรณีอาจต้ อาจต้องท องทาการทดสอบเพ่ าการทดสอบเพ่อท อื ทานายผล านายผล ็ ็ นชนิ ความไวตอยาต้ อยาต้านจุ านจุลชี ลชีพ เพ่ือให้การเลื การเลือกใช้ อกใช้ยาได้ ยาได้ผลดี ผลดีและเหมาะสมในผู และเหมาะสมในผู ้ปปว ยแตละราย ละราย การตร การตรวจ วจ ื ี เอกลักษณ์ กษณ์ของเชอนต้องอาศั องอาศัยความรู ยความรู ้เก่ เก่ยวกั ยี วกับ รูปร ปราง า ง โครง โครงสร สร้้ าง สรีรวิ รวิทยาและเมตาบอลิ ทยาและเมตาบอลิสมของ สมของ ี ็ ็ นประโยชน์ จุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์ ความรู ้เหล เหลาน านจะเป นประโยชน์ทางการแพทย์ ทางการแพทย์ ในด้านการดู านการดูแลผู แลผู ้ปปว ย โดยเฉพาะการควบคุม ื ป้องกันการติ นการติดเช ดเชอแกผูผ ้ปู ว ย แกบุบ คลากรท คุ ลากรทางก างการแ ารแพทย พทย์์ หรือผู อผู ้มาติ มาติดต ดตอสถานพยาบาล อสถานพยาบาล ประวัติ ตความเป็ ค ิ วามเป็ นมาและพัฒนาการของการศึ ฒนาการของการศึกษาจุ กษาจุลิลนทรี น ิ ทรีย์ย์ ในศตวรรษท่ี 16 Girolamo Fracastoro (ค.ศ.1546) ได้ เสนอไว้ เสนอไว้ ในหนังสื งสือช่อื De Contagione Contagione วา โรคเกิดจากสิ ่ ดจากสิ ่งมี งมีชีชวิวี ตท่ ติ ท่ีมองไม มองไมเห็ เห็น อาจติดต ดตอโดยการสั อโดยการสัมผั มผัสใกล้ สใกล้ชิชดโดยตรง ดิ โดยตรง เชน ื ซิฟิฟลิ ิส หรือทางอ้ อทางอ้อมผ อมผานสิ านสิ ่งของหยิ งของหยิบย่ บย่ืนให้กักัน หรือผ อผานเส านเสอผ้าท่ าท่สวมใส ีสวมใส หรือแพร อแพรมาจากระยะไกลผ มาจากระยะไกลผาน าน ี ือท่ ตัวกลางบางอย วกลางบางอยางในอากาศ างในอากาศ การเสนอนเพ่ อท่จะอธิ จี ะอธิบายสาเหตุ บายสาเหตุของโรคซิ ของโรคซิฟิฟลิ สิ และเป ็ ็ นการเสนอท่ นการเสนอท่นนี าไป า ไป ั สู ความพยายามท่ ความพยายามท่จะตรวจหาสิ จี ะตรวจหาสิ ่งมี งมีชีชวิวี ิตเล็ ตเล็กๆเหล กๆเหลาน านน ด้วยกล้ วยกล้อง อง แม้ววานั า นักวิ กวิทยาศาสตร์ ทยาศาสตร์ชาวอิ ชาวอิตาเลี ตาเลียนได้ ยนได้ พยายามใช้เลนส์ เลนส์ท่ทีกาลิ ่กาลิเลโอใช้ เลโอใช้สสองดู อ งดูดาวมาใช้ ดาวมาใช้สสองหาสิ อ งหาสิ ่งมี งมีชีชีวิวตดั ติ ดังกล งกลาว าว แตคนแรกท่ คนแรกท่เห็ เี ห็นหรื นหรือค้ อค้นพบสิ นพบสิ ่งมี งมี ั ชีวิวตเล็ ติ เล็กๆ กๆ ท่ ไม ี สามารถเห็ สามารถเห็นได้ นได้ด้ดวยตาเปล ว้ ยตาเปลา นนเป นพอค้ อค้าผ้ าผ้าชาวฮอลแลนด์ าชาวฮอลแลนด์ช่อื Leeuwenhoek (ค.ศ. ็ ็ นพ ื 1676) ซึ ่ซึ ่งศึ งศึกษาเช กษาเชอท่เข่ เี ข่ยออกมาจากช ยี ออกมาจากชองปาก นาไปส าไปสองดู องดูด้ดวยกล้ ว้ ยกล้องจุลทรรศน์ท่ที่มีมีกกาลั า ลังขยายประมาณ งขยายประมาณ 150 เทา (ภาพท่ี 1) และรายงานการค้นพบไปยั นพบไปยังสมาคมราชแพทย์ งสมาคมราชแพทย์ของอั ของอังกฤษ งกฤษ
ภาพท่ี 1 กล้องจุ องจุลทรรศน์ ลทรรศน์อย อยางง างงายของ ายของ Leeuwenhoek
3
อยางไรก็ างไรก็ตามแนวความคิ ตามแนวความคิดเก่ ดเก่ยวกั ยี วกับ การเกิดขึ ด ขึนเองของสิ นเองของสิ ่งมี งมีชีชวิวี ติ (spontaneous ั generation) ยังคงมี งคงมีอยู อยู ท่ทั่วไป วไป ตงแตการท่ การท่ี Francesco Redi (ค.ศ. 1688) เผยแพรเร่ เร่องการเกิ อื งการเกิดขึ ด ขึน ื เองของตัวหนอนในเศษเน วหนอนในเศษเนอเนา ซึ ่งถู งถูกค้ กค้านไปโดยการทดลองเปรี านไปโดยการทดลองเปรียบเที ยบเทียบของเศษอาหารในภาชนะเปิ ยบของเศษอาหารในภาชนะเปิด และภาชนะปิดซึ ่ง และนาาไปสู ไปสู การสรุ การสรุปว ปวาตั าตัวหนอนเกิ วหนอนเกิดจากแมลงมาวางไข ดจากแมลงมาวางไข หรือสิ อสิ ่งมี งมีชีชวิวี ตเกิ ติ เกิดจากสิ ดจากสิ ่งมี งมี ชีวิวติ ด้วยหลั วยหลักฐานท่ กฐานท่แสดงให้ แี สดงให้เห็ เห็นชั นชัดเจนท ดเจนทาให้ าให้เช่ เช่อว อื วาสิ าสิ ่งมี งมีชีชีวิวตขนาดใหญ ติ ขนาดใหญเช เชนตั นตัวหนอน วหนอน จะไมเกิ เกิดขึ ด ขึนเอง นเอง ี อง ั ั แตยัยังมี งมีความคิ ความคิดว ดวาสิ าสิ ่งมี งมีชีชวิวี ตขนาดเล็ ติ ขนาดเล็กมาก เชนท่ นท่ี Leeuwenhoek พบนนน นนาจะเกิดขึ ด ขึนได้ นได้เอง เอง ทงนเน่ อื ง ื มาจากผลการทดลองของ John Needham (ค.ศ. 1749) ท่ีพบว พบวาน้ าน้ ซุบต้ บต้มเน มเนอแกะท่ ปิปี ดิ ฝาแนน ยัง ื ื ี เกิดขุ ดขุ น ขึนแสดงวามี ามีเช เชอจุลิลนิ ทรีย์ยเจริ เ์ จริญขึ ญ ขึนได้ นได้เอง เอง การทดลองคล้ายๆกั ายๆกันน นนแต ไมพบเช พบเชอขึ นท นทาโดย าโดย Louis ื ี ั Joblot ใน ค.ศ. 1718 แสดงให้ เห็ เห็นว นวาช าชวงเวลาน วงเวลานยังไม งไม ใครรู ้วิวธีธิ ท่ที ี่ฆฆาเช า เชอได้ททงหมดและวิ ธีธคงสภาพ ีคงสภาพ ื ปราศจากเชอได้ ผู ้ท่ทแสดงการทดลองคั ี่แสดงการทดลองคัดค้ ดค้านความคิ านความคิดว ดวาจุ าจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยเกิ ์เกิดขึ ด ขึนได้เองเป เองเป ็ ็ นคนแรก คือ Lazzaro Spallanzani Spallanzani (1765 (1765 และ 1776) 1776) โดยใช้ โดยใช้ภาชนะบรรจุ ภาชนะบรรจุอาหารแล้ อาหารแล้วปิ วปิดผนึกแน กแนนนาไปต าไปตังในน้ ร้อน อ น 45 ื ื ื นาที พบว าไม าไมมีมีเช เชอเจริญขึ ญขึ น และปว สราเช าุ เชอไม ได้เกิ เกิดเองแต ดเองแตอากาศน อากาศนาเช าเชอเข้ามาเจริ ามาเจริญในอาหาร ญในอาหาร ื อยางไรก็ างไรก็ตามมี ตามมีการคั การคัดค้ ดค้านผลการทดลองของ Spallanza nzani วาเช า เชอจุลิลนิ ทรีย์ยอาจเกิ ์อาจเกิดขึ ด ขึนเองแต นเองแตการ การ ี ั เจริญน ญนนต้องการอากาศ องการอากาศจากภา จากภายนอก ยนอก การคั การคัดค้ ดค้านน านนนาไปสู าไปสู การทดลองพิ การทดลองพิสูสจน์ จู น์เพิ เพิ ่มเติ มเติมอ่ มอ่นๆ นื ๆ เช เชน การ ยอมให้อากาศเข้ อากาศเข้าภาชนะได้ าภาชนะได้แต แตอากาศต้ อากาศต้องผ องผานการท านการทาให้ าให้ร้รอนโดย ้อนโดย Theodore Schwann หรืออากาศท่ ออากาศท่ี ผานเข้ านเข้าไมต้ตองท ้องทาให้ าให้ร้ร้อนแต อนแตต้ต้องผ องผานการกรองด้ านการกรองด้วยใยส วยใยสาาลีลี โด โดย Ge Geoorg Frie Friedr dric ichh Scho Schord rdeer และ และ Theod Theodor or von von Dusch Dusch อยางไรก็ตามผู ตามผู ้ท่ที่มีมบทบาทส ีบทบาทสาคั าคัญและท ญและทาให้ าให้ความเช่ ความเช่อเร่ อื เร่องจุ อื งจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยเกิ ์เกิดขึ ด ขึนได้ เองหมดไปคือ Louis Pasteur Pasteur (ค.ศ.1860-1 (ค.ศ.1860-1864) 864) จากการทดลอ จากการทดลองโดย งโดยใช้ ใช้ภาชนะคอห ภาชนะคอหานท่ านท่ผผี านออโต า นออโต เคลฟ (115-12 (115-1200 C) แล้ แล้ ว ทาให้ าให้ ไมต้ตองปิ ้องปิดภาชนะ ไมต้ตองท ้องทาอากาศให้ าอากาศให้ร้ร้อน อน และไมต้ตองกรองอากาศ ้องกรองอากาศ ื เชอท่ติตี ดมากั ิดมากับฝ บฝนหรื นุ หรืออากาศไม ออากาศไมสามารถเข้ สามารถเข้าไปเจริ าไปเจริญในอาหารได้ ญในอาหารได้เน่ เน่องจากจะติ อื งจากจะติดค้ ดค้างอยู างอยู ท่ทผนั ี่ผนังท่ งท่คอของ คี อของ ภาชนะ ื ็ ็ นสาเหตุ ทฤษฎีววาเช า เชอเป นสาเหตุกกอให้ อ ให้เกิ เกิดโรค (Germ Theory) อาจเริ เร ่ิ มโด ม โดย Agost gostiino Bass Bassii ื (ค.ศ (ค.ศ.1 .183 8355-18 1844 44)) ท่ีพบว พบวาโรคของตั าโรคของตัวหนอนไหมเกิ วหนอนไหมเกิดขึ ด ขึนจากเช นจากเชอราและยังเสนอว งเสนอวาโรคอ่ าโรคอ่นจ นื จานวนมาก านวนมาก ื ื เกิดจากเช ดจากเชอจุลนทรี นิ ทรีย์ย์ การใช้เทคนิ เทคนิคปราศจากเช คปราศจากเชอในการผาตั าตัดโดย ดโดย Josep Josephh Lister Lister แสดงให แสดงให้้เห็ เห็นทาง นทาง ื อ้อมว อมวาเช าเชอจุลนทรี นิ ทรีย์ยมีม์ บทบาทในการเกิ ีบทบาทในการเกิดโรค ดโรค ตอมา อมา Robert Koch (ค.ศ.1876-1877) ได้ แสดงให้ แสดงให้เห็ เห็น ื วาจุ าจุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์ Bacillus anthracis ทาาให้ ให้เกิ เกิดโรคแอนแทรกซ์ ดโรคแอนแทรกซ์ และเชอ Mycobacterium tuberculosis เป ็ ็ นสาเหตุ นสาเหตุของวั ของวัณโรค ณโรค การพิสูสจน์ จู น์ววาจุ าจุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์ชนิ ชนิดใดชนิ ดใดชนิดหนึ ดหนึ ่งเป งเป นสาเหตุของโรคใดโรคหนึ ของโรคใดโรคหนึ ่งโดยแพทย์ งโดยแพทย์ช่อื Robert ็ ็ นสาเหตุ ั Koch นนได้อาศั อาศัยหลั ยหลักเกณฑ์ กเกณฑ์ท่ทเขาเสนอขึ ี่เขาเสนอขึ นเองเรียกว ยกวา Koch's postulates (เผยแพร ใน (เผยแพร ใน ค.ศ. 1884) ั ซึ ่งประกอบด้ งประกอบด้วย 1. จุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์นนนต้ องพบเฉพาะในผู องพบเฉพาะในผู ้ปปว ยแต ไมพบในคนป พบในคนปกติ กติ 2. ต้องสามารถแยกและ องสามารถแยกและ ื ี นามาเพาะเล ามาเพาะเลยงได้ 3. เม่อฉี ือฉีดเช ดเชอท่แยกได้ แี ยกได้ ในสัตว์ ตว์ทดลองปกติ ทดลองปกติจะต้ จะต้องก องกอให้เกิ เกิดโรคขึ ดโรคขึ นมาอี นมาอีก และ 4. ต้อง อง ี ั ั สามารถแยกจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยนน์ นกลั บมาได้จากสั จากสัตว์ ตว์ท่ทเกิ ี่เกิดโรคน ดโรคนนอี นอี ก ซ ่ึ ง Koch's postulate น ได้ รัรับการ บการ ื ยอมรับและใช้ บและใช้อย อยางกว้ างกว้างขวางในการหาเช างขวางในการหาเชอสาเหตุ ของโรค ของโรค นอกจากนพัี ฒนาการของการศึ ฒนาการของการศึกษาทางจุ กษาทางจุล ชีววิ ววิทยามี ทยามีความเจริ ความเจริญก้ ญก้าวหน้ าวหน้ามาก ามาก ในชวงเวลาของ วงเวลาของ Robert Koch เชน มีการน การนาวุ า ้วุนอะการ์ นอะการ์มาใช้ มาใช้ ในการ ื ี เพาะแยกเชอ มีการใช้ การใช้จานเพาะเล จานเพาะเลยงเรียก ยก Petri dish ซึ ่ซึ ่งคิ งคิดพั ดพัฒนาโดย ฒนาโดย Richard Richard Petri Petri ซึ ่งเป งเป นผู ้รรวม วม ็ ็ นผู ื ี ี งานข งานของ อง Ko Koch ch นอกจ นอกจาก ากน นยังมี งมีการคิ การคิดส ดสวนประกอบของอาหารเล วนประกอบของอาหารเลยงเชอหลายชนิด การพั ฒนาหลายๆ ฒนาหลายๆ ี อยางเหล างเหลาน านยังคงใช้ งคงใช้ ในห้องปฏิ องปฏิบัติตการทางจุ ิการทางจุลชี ลชีววิ ววิทยาจนถึ ทยาจนถึงปั งปัจจุบับัน พัฒนาการในระยะต ฒนาการในระยะตอมาเป อมาเป ็ ็ นเร่ นเร่องการหาวิ อื งการหาวิธีธ ในการป้ ี องกันและรั นและรักษาโรคติ กษาโรคติดเช ดเชอื หลังจากท่ งจากท่ี นายแพทย์ Edward Jenner ฉีดวั ดวัคซี คซีนได้ นได้จาก จาก cow pox เพ่ือป้ อป้องกันไข้ นไข้ทรพิ ทรพิษได้ ษได้เป เ ็ ป ็ นผลส นผลสาเร็ าเร็จใน จใน ื ค.ศ.1798 ตอมา อมา Pasteur ก็ ได้พัพัฒนาวั ฒนาวัคซี คซีนโดยใช้เช เชอท่ทที าาให้ ให้อออนแอ อ นแอ ได้วัวัคซี คซีนส นสาหรั าหรับป้ บป้องกันโรค ี แอนแทรกซ์ (ค.ศ.1881) และสาาหรั หรับโรคพิ บโรคพิษสุ ษสุนันัขบ้ ขบ้า (ค.ศ.1885) นอกจากนยังได้ งได้ผลิ ผลิตวั ตวัคซี คซีนสาหรั าหรับ °
4
ื อนก สัตว์ ตว์ด้ดวย ว้ ย (fowl cholera และ swine erysipelas) เขาเรียกเช ยกเชออ อนกาลั าลังท่ งท่ ใช้ ี ฉีฉดป้ ดี ป้องกันว นวาวั าวัคซี คซีน ั (vaccines) มาจากรากศัพท์ พท์ลาติ ลาตินว นวา vacca ซึ ่ซึ ่งแปลว งแปลวาวั าวัว (cow) เพ่ือให้ อให้เกี เกียรติ ยรติการริ การริเริ เริ ่มคร มครงแรกท่ ใช้ ี cowpox ของนายแพทย์ Jenner ื ในปี ค.ศ. 1886 Salmon และ Smith ค้นพบว นพบวาวั าวัคซี คซีนท่ นท่ีททาจากเช า จากเชอแบคที เรี เรียท่ ยท่ทที าาให้ ให้ตาย ตาย ื ื สามารถป้องกันโรคติดเช ดเชอในนกพิราบ ราบ (Salmonellosis) ได้ ปัจจุบันวั นวัคซี คซีนเชอตายยังมี งมี ใช้ป้ปอ้ งกันไข้ นไข้ ไทฟอยด์ ไข้หวั หวัดใหญ ดใหญ และ โรคไอกรน(whooping cough หรือ Pertussis) Emil von Behrin Behringg รวมกั วมกับ Shibas Shibasabu aburo ro Kitas Kitasato ato ใน ค.ศ.19 ค.ศ.1980 80ได้ ได้พัพัฒนา ฒนา แอนติบอดี บอดี ต้านสารพิ านสารพิษ (anti-toxin) สาหรั า หรับโรคคอตี บโรคคอตีบและบาดทะยั บและบาดทะยัก การค้นพบอ่ นพบอ่นท่ นื ท่ีมีมความเก่ ีความเก่ยวข้ ยี วข้องและ องและ เป นการค้นพบท่ นพบท่สสี าคั า คัญ คือการพบว อการพบวาเม็ าเม็ดเลื ดเลือดขาวสามารถกลื อดขาวสามารถกลืนกินแบคทีเรี เรียก ยกอโรค โดย Elie ็ ็ นการค้ ี Metchnikoff และเรียกกระบวนการน ยกกระบวนการนวา phagocyto phagocytosis sis หลังจากการคิ งจากการคิดค้ ดค้นแผ นแผนกรองท่ นกรองท่สามารถกั สี ามารถกักแบคที กแบคทีเรี เรียไว้ ยไว้ ได้ โดย โดย Chambe Chamberla rland nd ได้นนาไปสู า ไปสู การ การ พบสารท่มีมี ขนาดเล็ ีขนาดเล็กกว กกวารู ารูแผ แผนกรองและสามารถก นกรองและสามารถกอโรคได้ อโรคได้คืคอื ไวรัสต สตางๆ างๆ
การจัดจ ดจาแนกประเภทจุ าแนกประเภทจุลิลนทรี น ิ ทรีย์ย์ การศึกษาทางจุ กษาทางจุลชี ลชีววิ ววิทยาทาง ทยาทางการ การแพท แพทย์ย์ มักจะรวมท กจะรวมทงั ไวรั สซึ ่งจั งจัดเป็ ดเป็นอนุภาคหรือ สาร (age (agent nt)) และป และปรส รสิิตซึ ตซึ ่งส งสวนใหญ วนใหญมีมขนาดใหญ ีขนาดใหญมากจนสามารถเห็ มากจนสามารถเห็นได้ นได้ด้ดวยตาเปล ว้ ยตาเปลาไว้ าไว้ด้ดว้ ย เข้ เข้ าไว้ าไว้ด้ดวยกั ว้ ยกัน การจัดจ ดจาแนกจุ าแนกจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยและปรสิ ์และปรสิตออกเป ตออกเป นแขนงวิชายอยๆต อยๆตางๆแสดงในตารางท่ างๆแสดงในตารางท่1ี ็ ็ นแขนงวิ ตารางท่ี 1 แขนงวิชา 1. ไวรั สวิทยา (Virology) 2. แบคทีเรี เรียวิ ยวิทยา (Bacteriology)
ครอบคลุ ม การั จดจาแนก ขนาด พิ รออน สาร (agent) 25-400 นาโนเมตร ไวรอยด์ ไวรัส คลามิดเดีย จุลิลนทรี นิ ทรีย์ 0.2-1.5 ไมโครเมตร มั ยโคพลาสมา 0.3-0.8 ไมโครเมตร ริคเก็ คเก็ทเชี ทเชีย 0.5-2 ไมโครเมตร แบคทีเรี เรียอ่ ยอ่นื ๆ 1-10 ไมโครเมตร ื เชอรา ุ จลินทรี นทรี์ ย ้ เส นผาศู าศูนย์ นย์กลาง 5-10 ไมโครเมตร
ื ทยา 3. เชอราวิ ทยา (Mycology) 4. ปรสิตวิ ตวิทยา ทยา (Parasitology) 4.1 โปรโตซัววิ ววิทยา ทยา โปรโตซัว (Protozoology) 4.2 เฮลมินโธโลยี นโธโลยี พยาธิตัตัวกลม (Helminthology) พยาธิตัตัวแบน
จุลิลนทรี นิ ทรีย์
1-150 ไมโครเมตร
ปรสิต
3-30 ไมโครเมตร
ปรสิต
1 ไมโครเมตร- 1 เมตร
ทางการแพทย์ ในปัจจุบับันจะรวมพวกอาร์ โธรปอดไว้ ในพวกปรสิตด้ ตด้วยโดยส วยโดยสวนมากเป วนมากเป นปรสิตท่ ตท่ี ็ ็ นปรสิ ั อยู ภายนอกร ภายนอกรางกาย างกาย (ectopara (ectoparasites sites)) ในตารางจะเ ในตารางจะเห็ห็นว นวาจุ าจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยเกื ์เกือบท อบทงหมดข้างต้ างต้น ยกเว้น ไวรัส ั จัดเป ดเป นเซลล์ ตงแตสิส ่งมี งิ มีชีชีวิวตเซลล์ ติ เซลล์เดี เดียว ยว (unice (unicellu llular lar organi organism) sm) ในกลุ ในกลุ มของแบคที มของแบคทีเรี เรีย จนถึงสิ งสิ ่งมี งมี ็ ็ นเซลล์ ื ชีวิวตหลายเซลล์ ติ หลายเซลล์ (multicellular organism) ท่พบในกลุ พี บในกลุ มของเช มของเชอราและปรสิต 5
เปรียบเที ยบเทียบโครงสร้ ยบโครงสร้างของยู างของยูคาริ คาริ โอทส์และโปรคาริ และโปรคาริ โอทส์ ลักษณะโครงสร้ กษณะโครงสร้างภายในเซลล์ างภายในเซลล์ระหว ระหวางโปรคาริ างโปรคาริ โอทส์และยู และยูคาริ คาริ โอทส์มีมความแตกต ีความแตกตางกั างกันหลาย นหลาย อยาง าง ในยูคาริ คาริ โอทส์มีมความซั ีความซับซ้ บซ้อนมากกว อนมากกวา มีขนาดของเซลล์ ขนาดของเซลล์ ใหญกว กวา มีออร์ ออร์กาเนลล์ กาเนลล์ท่ที่มีมเย่ ีเย่อหุ อื หุ ้ม มี การจัดแบ ดแบงเป งเป ็ ็ นส นสวนๆ วนๆ (compartment) สาาหรั หรับท บทาหน้ าหน้าท่ าท่ตตี างๆ างๆ ขณะท่ีเซลล์ เซลล์ โปรคาริ โอทส์ ไมมีมการจั ีการจัด ี แยกเป นสวน วน องค์ประกอบต ประกอบตางๆอยู างๆอยู รวมกั รวมกันในไซโตปลาสม นในไซโตปลาสม นอกจากนกระบวนการชีวสั วสังเคราะห์ งเคราะห์ ตางๆ างๆ ็ ็ นส ั เชน การสังเคราะห์ งเคราะห์ดีดเอนเอ ีเอนเอ การสังเคราะห์ งเคราะห์ โปรตีน และการสังเคราะห์ งเคราะห์เย่ เย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์ รวมทงโครงสร้าง าง ของเซลล์ โปรคาริ โอทส์ก็ก็มีมความแตกต คี วามแตกตางกั างกับเซลล์ บเซลล์ยูยคาริ คู าริ โอทส์ ดังสรุ งสรุปในตารางท่ ปในตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 เปรียบเที ยบเทียบลั ยบลักษณะของเซลล์ กษณะของเซลล์ยูยคาริ ูคาริ โอทส์กักับโปรคาริ บโปรคาริ โอทส์ ลักษณะ สารพันธุ นธุกรรม กรรม ตาาแหน แหนง รูปแบบ การจาลองตั าลองตัว ดีเอนเอท่ เอนเอท่อยู อี ยู นอก นอก โครโมโซม การสร้างโปรตี างโปรตีน บริเวณ
ไรโบโซม บริเวณสร้ เวณสร้างพลั างพลังงาน ออร์กาเนลล์ กาเนลล์ภายใน ภายใน เซลล์ เย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์ (Plasma membrane) ผนังเซลล์ งเซลล์ (Cell wall)
ู ยคาริโอท์ ส จากั ากัดในเย่ ดในเย่อหุ อื หุ ้มนิ มนิวเคลียส โครโมโซมหลายช ิ น (multiple chromosome) ซึ ่งมี งมี โปรตีน ฮีสโตน สโตน จับอยู บอยู กระบวนการไมโตซิส และไมโอซิส มีอยู อยู ในไมโตคอนเดรี ย
Rough Endoplasmic Reticulum (RER) เป นแหลงผลิ งผลิตโปรตี ตโปรตีน และ ็ ็ นแหล Smooth Endoplasmic Reticulum (SER) หรือ Golgi complex เป ็ ็ น บริเวณท่ เวณท่เก็ เี ก็บโปรตี บโปรตีนท่ นท่ถูถี กหล่ กู หล่ังและขนส งและขนสง ไปยังเย่ งเย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์ ขนาด 80S ประกอบด้ วยหนวยย วยยอย อย 60S และ 40S ภายในไมโตคอนเดรีย ิ ไลโซโซม ประกอบด้ วย วย hydrolytic enzyme เป ็ ็ น lipoprotein membrane ทา หน้าท่ าท่ควบคุ ีควบคุมการขนส มการขนสง ื มักไม กไมมีมี ยกเว้น เชอราท่ มีมี ี chitin ใน ผนังเซลล์ งเซลล์
6
โปรคาิ ร โอทส์ ู อย ในไซโตปลาสมจั บกั บกับโครงสร้ บโครงสร้าง าง ท่ีเรี เรียก ยก mesosome ท่ีอยู อยู ท่ที่ผนั ผนัง เซลล ดีเอนเอชิ เอนเอชิ นเดียวรู ยวรูปวง ปวง แบงตั ง ตัวแบบ วแบบ ไบแนรี ฟิชชัน อาี จมพลาสมิด ซึ ่งเป งเป น ชินดีเอนเอ เอนเอ ็ ็ นชิ รูปวง ปวง เก็บข้ บข้อมู อมูลเพิ ลเพิ ่มเติ มเติมและอยู มและอยู ใน ไซโตปลาสม ไมมีมี Endoplasmic Reticulum (ER) แตมีม ไรโบโซม ี อยู อยู อิอสระในไซ สิ ระในไซ โตปลาสม หรือจั อจับกับเย่ บเย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์
ขนาด 70S ประกอบด้วยหน วยหนวยย วยยอย อย 50S และ 30S ปฏกิยาลู ยาลูกโซขนส ขนสงอิเลคตรอนเกิ เลคตรอนเกิด ในเย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์ ไมมีม ไมโตคอนเดรี ี ย ไมมีมี เป ็ ็ น lipoprotein membrane ทา หน้าท่ าท่ควบคุ ีควบคุมการขนส มการขนสง มี ทาาให้ ให้เซลล์ เซลล์คงรู คงรูป (rigidity)
ื โครงสร้างของเซลล์ างของเซลล์ยูยคาริ ค ู าริ โอทส์ (เชอราและปรสิ ต) ต) 1. โครงสร้างของไซโตปลาสม างของไซโตปลาสม 1.1 สารพันธุ นธุกรรม กรรม ดีเอนเออยู เอนเออยู ภายในนิวเคลี วเคลียส ยส มีลัลักษณะเป กษณะเป ็ ็ นโครโมโซม นโครโมโซม คลุมด้ มด้วยโปรตี วยโปรตีนฮี นฮีสโตน สโตน มีนินวิ คลี โอลัสในนิ สในนิวเคลี วเคลียส ยส เป ็ ็ นแหล นแหลงสั งสังเคราะห์ งเคราะห์ ribosomal RNA มีจจานวนโครโมโซมใน า นวนโครโมโซมใน นิวเคลี วเคลียสแตกต ยสแตกตางกั างกันแล้ นแล้วแต วแตชนิ ชนิดของสิ ดของสิ ่งมี งมีชีชวิวี ิต 1.2 เอนโดพลาสมิด เรติคิควลั ิวลัม เป นระบบเย่ือหุ ้มภายในไซโตปลาสม มภายในไซโตปลาสม มี 2 รูป คือ RER ท่ีคลุ คลุมด้ มด้วยไรโบโซม วยไรโบโซม และเป ็ ็ น ็ ็ นระบบเย่ บริเวณส เวณสาหรั าหรับการสั บการสังเคราะห์ งเคราะห์ โปรตีน และ SER หรือ Golgi apparatus เป ็ ็ นบริ นบริเวณท่ เวณท่ โปรตี ี น ถูกหล่ กหล่ังออก งออก ถูกจั กจัดเก็ ดเก็บไว้ บไว้สสาหรั า หรับส บสงนอกเซลล์ งนอกเซลล์ 1.3 ไรโบโซมของเซลล์ยูยคาริ คู าริ โอทส์ ไรโบโซมจับอยู กักับเอนโดพลาสมิ บเอนโดพลาสมิด เรติคิควลั ิวลัม มีขนาด ขนาด 80S (60S+40S) 1.4 ออร์กาเนลล์ กาเนลล์ของเซลล์ ของเซลล์ยูยคาริ ูคาริ โอทส์ ออร์กาเนลล์ กาเนลล์มีมเย่ เี ย่อหุ อื หุ ้ม มี หลายชนิ หลายชนิด เชน ไมโตคอนเดรีย ซึ ่ซึ ่งเป งเป นแหลงสร้ งสร้างพลั างพลังงาน งงาน มี ็ ็ นแหล ดีเอนเ เ อนเอข อของ องตน ตนเอ เองง และม และมีระบบการขนส ีระบบการขนสงอิ งอิเลคตรอนท่ เลคตรอนท่ผลิ ผี ลิตพลั ตพลังงานส งงานสาหรั าหรับใช้ บใช้ ในการทางาน างาน ของเซลล์ ออร์กาเนลล์ กาเนลล์ท่ทเก็ ี่เก็บเอนไซม์ บเอนไซม์ เชน ไลโซโซ ไลโซโซมม (lysos (lysosome) ome) จะมีเอนไซม์ เอนไซม์ท่ทสลายสาร ี่สลายสาร โมเลกุลใหญ ลใหญและจุ และจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยภายในเซลล์ ์ภายในเซลล์ และเพอรอกซิ และเพอรอกซิ โซ โซม (per (perooxis xisom omee) จะมี จะมีเอนไซม์ เอนไซม์ สาหรั าหรับป้ บป้องกันสารพิ นสารพิษต ษตอเซลล์ อเซลล์ (prot (protect ective ive enzyme enzymes) s) ท่ทที าหน้ า หน้าท่ าท่สลาย ีสลาย ไฮโดรเจนเป ไฮโดรเจนเปอร์ อร์ ออกไซด์ ออกไซด์ (hydrogen (hydrogen peroxide) peroxide) และ เปอร์ออกไซด์ ออกไซด์(peroxides) ชนิดอ่ ดอ่ืนๆ นๆ ท่ี สร้ สร้างขึ างขึ นใน นใน เซลล์ 2. โครงสร้างของเอนเวลโลฟ างของเอนเวลโลฟ 2.1 เย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์ เป ็ ็ นเย่ นเย่อหุ อื หุ ้มไลโปโปรตี มไลโปโปรตีน 2 ชัน ท่หุหี ้มุ ไซโตปลาสมของเซลล์ ทาาหน้ หน้าท่ าท่ควบคุ ีควบคุมการ มการ ขนสงสารโมเลกุ งสารโมเลกุลใหญ ลใหญเข้ เข้าและออกจากเซลล์ าและออกจากเซลล์ 2.2 ผนังเซลล์ งเซลล์ หน้าท่ าท่ีททาาให้ ให้เซลล์ เซลล์คงรู คงรูป และทนตอแรงต้ อแรงต้านด้ านด้านนอกเซลล์ านนอกเซลล์ เซลล์ยูยคาริ ูคาริ โอทส์สสวนมาก ว นมาก ื มีผนั ไมมีมผนั ผี นังเซลล์ งเซลล์ ยกเว้นในเช นในเชอรา ผนังเซลล์ งเซลล์เป เ ็ ป ็ นโพลี นโพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ เชน ไคติน แมนแนน และ กูล ื แคน โดยไคตินเป นเป นสวนประกอบส วนประกอบสาคั าคัญของผนั ญของผนังเซลล์ งเซลล์ของเชอรา ็ ็ นส 2.3 ออร์กาเนลล์ กาเนลล์สสาหรั า หรับการเคล่ บการเคล่อนท่ อื นท่ี อาจเป ็ ็ นซิ นซิเลี เลีย (cilia) (cilia) ยาว ยาว 3-10 3-10 ไมครอน ไมครอน เชนใน นใน โปรโตซัว หรือเป อเป ็ ็ น แฟลกเจลลา ยาวมากกวา 150 150 ไมคร ไมครอน อน ท่ีสสวนของฐาน ว นของฐาน สวนท่ วนท่เรี เี รียก ยก kine kineto toso some me เป นโครงสร้างขนาด างขนาด ็ ็ นโครงสร้ เล็กบนฐานของ กบนฐานของ ซิเลี เลีย หรื อแฟลกเจลลา อแฟลกเจลลา ท่ีมีมี micr microt otub ubul ules es prot protei einn ซึ ่งเก่ งเก่ยวข้ ยี วข้องกั องกับการ เคล่อนท่ อื นท่ี แบคทีเรี เรีย อนุกรมวิ กรมวิธานและการตั ธานและการตัง ช่อื การจัดจ ดจาแนกแบคที าแนกแบคทีเรี เรียท ยทาาในลั ในลักษณะเดี กษณะเดียวกั ยวกับการจั บการจัดจ ดจาาแนกสิ แนกสิ ่งมี งมีชวิวี ตชนิ ติ ชนิดอ่ ดอ่ืนๆ นๆ คืออาศั ออาศัยความ ยความ คล้ายคลึ ายคลึงและแตกต งและแตกตางกั างกันของจี โนไทปส์ (genotype) และลั กษณะท่ กษณะท่สัสี ังเกตได้ งเกตได้ (phenotype (phenotype)) ลาดั าดับ ี การจัดจ ดจาแนกของแบคที าแนกของแบคทีเรี เรีย เป ็ ็ นดั นดังน งน คือ อาณาจักร กร (Kingdom) Procaryotae ซึ ่ซึ ่งรวมพวกสิ งรวมพวกสิ ่งมี งมีชีชวิวี ิต
7
ื โปรโตซัวและสาหร เซลล์เดี เดียวท ยวทังหมด เชน เชอรา วและสาหราย าย แบคทีเรี เรียทางการแพทย์ ยทางการแพทย์มัมักถู กถูกจั กจัดจ ดจาแนกลงใน าแนกลงใน 3 กล ุ ม คือ สกุล (family), จีนันัส (genu genus) s) และ และ สปี สปี ชี ส์ส์ (spe (speci cies es)) ตั วอย วอยาง เชน ล Enterobacteriaceae Escherichia (genus) coli (species) อยู ในสกุ ล Micrococcaceae Staphylococcus (genus) aureus (species) อยู ในสกุ ล Mycobacteriaceae Mycobacterium (genus) tuberculosis (species) อยู ในสกุ การตังช่อื
จะ ขึนต้ นต้นช่ นช่อสกุ อื สกุลด้ ลด้วยตั วยตัวพิ วพิมพ์ มพ์ ใหญและลงท้ และลงท้ายช่ ายช่อสกุ อื สกุลด้ ลด้วย วย -aceae เชน วนช่อจี อื จีนัสให้ สให้ ใช้ตัตัวพิ วพิมพ์ มพ์ ใหญและตามด้ และตามด้วยช่ วยช่อสปี อื สปีชส์สี จะเขี ์จะเขียนเป ยนเป นตัวเอนหรื วเอนหรือขี อขีด Enterobacteriaceae สวนช่ ็ ็ นตั เส้นใต้ น ใต้ อาจเ อาจเขีขียนช่ ยนช่ือจีนัสย สยอด้ อด้วยอั วยอักษรตัวพิ วพิมพ์ มพ์ ใหญและเคร่ และเคร่องหมายจุ อื งหมายจุด กรณีท่ทเขี ี่เขียนช่ ยนช่อจี ือจีนัสตามด้ สตามด้วย วย ี ั ั spe species cies นนหมายถึงต้ งต้องการอ้ องการอ้างท างทงจีนันสั และค และคาาววา species นอาจเขียนลั ยนลักษณะยอเป ็ ็ น sp. (เอกพจน์) หรือ spp. (พหู พหู พจน์ พ จน์) ก็ ก็ ได้ ในบางกรณีเม่ออ้ อื อ้างถึ างถึงแบคที งแบคทีเรี เรียเป ยเป นกลุ มจะไม มจะไม ขึขนต้ นึ ต้นด้วยตั วยตัว ็ ็ นกลุ พิมพ์ มพ์ ใหญหรื หรือขี อขีดเส้ ดเส้นใต้ นใต้ ตัวอย วอยางเช างเชน staphylococci เป ็ ็ นต้ นต้น
แบคทีเรี เรียจี ยจีนั นัสที สที ่มความส ค ี วามสาคั าคัญทางการแพทย์ ญทางการแพทย์ แบคทีเรี เรียจี ยจีนันัสต สตางๆ างๆ ท่ีมีมความส ีความสาคั าคัญทางการแพทย์ ญทางการแพทย์ อยู ในตารางท่ ี3 ตารางท่ี 3 แบคทีเรี เรียจี ยจีนันัสท่ สท่มีมี ความส ีความสาคั าคัญทางการแพทย์ ญทางการแพทย์ ื ื สสี าคั กลุ มเช มเชอ หรือจี อจีนันัส ิ โรคตดเชอท่ า คัญ กลุ มท่ มท่ี 1 แบคทีเรี เรียแกรมบวก ยแกรมบวก 1. รูปรางทรงกลม างทรงกลม (Cocci) Streptococcus Pneumonia, Pharyngitis, Cellulitis Abscess ท่ีผิผวหนั วิ หนังและอวั งและอวัยวะต ยวะตางๆ างๆ Staphylococcus 2. รูปรางแท างแทง (Rods) 2.1สร้างสปอร์ างสปอร์ ได้ (Spore-forming) Anthrax Bacillus Clostridium Tetanus, Gas gangrene, Botulism 2.2ไมสร้ สร้างสปอร์ างสปอร์ (Non spore-forming) (1). ไมเป เ ็ ป ็ นสาย นสาย (Non-filamentous) Diphtheria Corynebacterium Meningitis Listeria (2). เป นสาย (Filamentous) ็ ็ นสาย Actinomyces Actinomycosis Nocardia Nocardiosis กลุ มท่ มท่ี 2 แบคทีเรี เรียแกรมลบ ยแกรมลบ 1. รูปรางทรงกลม างทรงกลม (Cocci) Gonorrhea, Meningitis Neisseria 2. รูปรางเป างเป นแทง (Rods) ็ ็ นแท ั 2.1 2.1 พว พวกเ กเจร จริิญได้ ญได้ททงในบรรยายกาศมี และไม และไมมีมี ออกซิเจน (Facultative anaerobes) (1). รูปร ปรางเป างเป นแทงตรง งตรง (Straight) ็ ็ นแท ื พวกติดเช ดเชอทางเดินหายใจ นหายใจ (Respiratory 8
organisms) Meningitis Whooping cough Pneumonia
Haemophilus Bordetella Legionella
ื พวกติดเช ดเชอจากสั ตว์ ตว์สูส คน คู น (Zoonotic) Brucella Francisella Pasteurella Yersinia
ื พวกเชอจากทางเดิ นอาหาร หรือเก่ อเก่ยวกั ยี วกับ ทางเดินอาหาร(Enteric นอาหาร(Enteric & related organisms)
Brucellosis Tularemia Cellulitis Plague
Urinary tract infection, diarrhea Urinary tract infection Pneumonia Pneumonia, Urinary tract infection Enterocolitis, Typhoid fever Enterocolitis Urinary tract infection
Escherichia Enterobacter Serratia Klebsiella Salmonella Shigella Proteus
(2). รูปร ปรางเป างเป นแทงโค้ งโค้ง (Curved) ็ ็ นแท Enterocolitis Gastritis, Peptic ulcer Cholera
Campylobacter Helicobacter Vibrio
2.2 2.2 พว พวกท กท่ี่ ต้ตองการออกซิ ้องการออกซิเจนในการเจริญ (Aerobes) Pneumonia, Urinary tract infection
Pseudomonas
2.3 2.3 พว พวกท กท่ ไม ี่ สามารถเจริ สามารถเจริญในบรรยากาศท่ ญในบรรยากาศท่มีมี ี ออกซิเจน(Anaerobes) Peritonitis พวกท่ ี 3 แบคทีเรี เรียทนกรด ยทนกรด Mycobacterium Tuberculosis, Leprosy พวกท่ี 4 แบคทีเรี เรียท่ ยท่เจริ เี จริญในเซลล์ ญในเซลล์ Rocky Mountain Spotted fever Rickettsia (RMSF), Typhus, Q fever, Chlamydia Urethritis, Trachoma, Psittacosis พวกท่ี 5 พวกท่มีมี ผนั ผี นังเซลล์ งเซลล์บางและยื บางและยืดหยุ ดหยุ น (Spirochetes) Treponema Syphilis Lyme disease Borrelia Leptospirosis Leptospira พวกท่ี 6 พวกท่ ไม ี มีมผนั ผี นังเซลล์ งเซลล์ Mycoplasma Pneumonia Bacteroides
9
การจัดจ ดจาแนกแบคที าแนกแบคทีเรี เรียโดยลั ยโดยลักษณะจี กษณะจี โนไทปส์และฟี และฟี โนไทปส์ การจัดจ ดจาแนกสิ าแนกสิ ่งมี งมีชีชวิวี ิตชนิ ตชนิดหนึ ดหนึ ่งๆ งๆ ลงในจีนันัสและสปี สและสปีชส์สี ์ ใดๆ จะอาศัยความคล้ ยความคล้ายกั ายกันในลั นในลักษณะ กษณะ ั ของ ฟีโนไทปส์ โนไทปส์จจานวนหนึ า นวนหนึ ่งของสมาชิ งของสมาชิกท กทงหมด สาาหรั หรับแบคที บแบคทีเรี เรียทางการแพทย์ ยทางการแพทย์นอกจากการใช้ นอกจากการใช้ ลักษณะสั กษณะสัณฐานวิ ณฐานวิทยาแล้ ทยาแล้วจะใช้ วจะใช้การทดสอบทางชี การทดสอบทางชีวเคมี วเคมี ตรวจสอ ตรวจสอบลั บลักษณะเมตาบอลิ กษณะเมตาบอลิสมเปรี สมเปรียบเที ยบเทียบกั ยบกับ ข้อมู อมูลมาตรฐาน ลมาตรฐาน ี นอกจากนระบบการจั ดจ ดจาแนกโดยใช้ าแนกโดยใช้อนุ อนุกรมวิ กรมวิธานตั ธานตัวเลข วเลข (numeric taxonomy) จะทาาให้ ให้ การค้นท นทาได้ าได้รวดเร็ รวดเร็ว โดยลักษณะฟี กษณะฟีโนไทปส์จะถู จะถูกก กกาหนดเป าหนดเป ็ ็ นตั นตัวเลข วเลข ซึ ่งจ งจานวนตั านวนตัวเลขจะบ วเลขจะบงบอกจี งบอกจีนัส และสปีชส์สี ของแบคที ์ของแบคทีเรี เรีย ในบางกรณี เชนการศึ นการศึกษาทางระบาดวิ กษาทางระบาดวิทยา ทยา อาจพบวามี ามีการจั การจัดจ ดจาแนกแบ าแนกแบงแบคที งแบคทีเรี เรียย ยยอยเป อยเป ็ ็ น subspecies ตามความแตกตางในลั างในลักษณะฟี กษณะฟีโนไทปส์ โดยเขียนย ยนยอเป subsp. ถ้าแบ าแบงย งยอยจากความ อยจากความ ็ ็ น subsp. แตกตางจากผลทางซี างจากผลทางซีรุร ุมวิ มวิทยา ทยา (serovarie (serovarieties ties)) อาจเขียนย ยนยอเป อเป serovar และถ้าจากความแตกต าจากความแตกตาง าง ็ ็ น serovar ี ทางผลทดสอบชีวเคมี วเคมี อาจเขียนย ยนยอเป อเป biovar นอกจากน นอกจากนอาจแบงย งยอยโดยใช้ความแตกต ความแตกตางในความ างในความ ็ ็ น biovar ื วยไวรั ไวตอการติ อการติดเช ดเชอด้ วยไวรัสของแบคที สของแบคทีเรี เรียจ ยจาเพาะ าเพาะ เรียก ยก phage phage typi typing ng หรื หรอโดยใช้ ือโดยใช้การวิ การวิเคราะห์ เคราะห์ระดั ระดับ โมเลกุลเรี ลเรียกย ยกยอว อวา RFLP ในการแยกความแตกตางระหว างระหวางสายพั างสายพันธุ น ์ธุ ี ในปัจจุบับันนมีการวิ การวิเคราะห์ เคราะห์ทางพั ทางพันธุ นธุกรรมในระดั กรรมในระดับท่ บท่ลึลี กยิ กึ ยิ ่งขึ ง ขึน โดยกา โดยการวิ รวิเคราะห์ เคราะห์เปรี เปรียบเที ยบเทียบ ยบ ลาดั าดับเบสใน ribosomal RNA (rRNA) และแสดงผลเป นไดอะแกรมหรือแผนภาพเส้ อแผนภาพเส้น เรียก ยก ็ นไดอะแกรมหรื Phylogeny แบคทีเรี เรียท่ ยท่ตตี าาแหน แหนงในแผนภาพอยู งในแผนภาพอยู ใกล้ กักันจะมี นจะมีลลาดั า ดับเบสคล้ บเบสคล้ายกั ายกันมาก นมาก สวนท่ วนท่อยู อี ยู ไกลกั นก็ นก็ จะมีลลาดั า ดับเบสดั บเบสดังกล งกลาวแตกต าวแตกตางกั างกันมาก นมาก ตัวอย วอยาง าง Phylogeny แสดงในภาพท่ี 2
ภาพท่ี 2 การจัดจ ดจาแนกสิ าแนกสิ ่งมีชีชวิวี ตตามความล้ ติ ตามความล้ายคลึ ายคลึงของล งของลาดั าดับเบสใน rRNA สิ ่งมี งมีชีชวิวี ตชนิ ติ ชนิดใดชนิ ดใดชนิดหนึ ดหนึ ่งสามารถจั งสามารถจัดจ ดจาาแนกตามชนิ แนกตามชนิดของเซลล์ ดของเซลล์ ตามโครงสร้างการจั างการจัดภายใน ดภายใน เซลล์และการท และการทาาหน้ หน้าท่ าท่ี เป ็ ็ น พวกโปรคาริ โอทส์ (Prokaryotes) พวกยูคาริ คาริ โอทส์ โอทส์ (Eukaryot (Eukaryotes) es) หรื อ พวกอาร์คีค โอแบคที ี เรี เรีย (Archaeobacteria) แบคทีเรี เรียส ยสวนใหญ วนใหญอยู อยู ในกลุ มของโปรคาริ มของโปรคาริ โอทส์ สวน สวน ื ั น้อยอยู อยอยู ในกลุ มอาร์ มอาร์คีค โอแบคที ี เรี เรีย สวนเช วนเชอรา สาหราย าย โปรโตซัว รวมทงเซลล์สัสัตว์ ตว์และพื และพืช จัดอยู ดอยู ในพวก ยูคาริ คาริ โอทส์ พวกอาร์คีค โอแบคที ี เรี เรียจะมี ยจะมีลัลักษณะเซลล์ กษณะเซลล์คล้ คล้ายกั ายกับเซลล์ บเซลล์ของยูคาริ คาริ โอทส์มากกว มากกวาเซลล์ าเซลล์ของโปร ของโปร คาริ โอทส์ และพบในจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยพวกท่ พ์ วกท่เจริ เี จริญได้ ญได้ภายใต้ ภายใต้สิส ่งแวดล้ งิ แวดล้อมท่ อมท่สิสี ่งมี งิ มีชีชวิวี ตท่ ติ ท่ัวไปไม วไปไมสามารถด สามารถดารงชี ารงชีวิวตอยู ติ อยู 10
ได้ ความสามารถท่จะด จี ะดารงอยู ารงอยู ในภาวะธรรมชาติ ท่ท ไม ี่ เหมาะต เหมาะตอการเจริ อการเจริญของเซลล์ ญของเซลล์ชนิดอ่อ่ ืนน ี อยู ท่ที่ ลักษณะโครงสร้ กษณะโครงสร้างของเย่ างของเย่ือหุ ้มเซลล์ มเซลล์และคุ และคุณสมบั ณสมบัติตของเอนไซม์ ิของเอนไซม์ของแบคที ของแบคทีเรี เรียเหล ยเหลาน าน ี อยางไรก็ างไรก็ตามพวก ตามพวก ี อาร์คีค โอแบคที ี เรี เรียไม ยไมเป เ ็ ป ็ นปั นปัญหาทางการแพทย์และจะไม และจะไมกล กลาวถึ าวถึงรายละเอี งรายละเอียดในรายวิ ยดในรายวิชาน ชาน
โครงสร้างของเซลล์ างของเซลล์ โปรคาริ โอทส์ (แบคทีเรี เรีย) ย) 1. โครงสร้างของไซโตปลาสม างของไซโตปลาสม 1.1 สารพันธุ นธุกรรม กรรม โครโมโซมเป นดีเอนเอ เอนเอ ชินเดี นเดียว ยว รูปวง ปวง ปรากฏเป ็ ็ นดี ็ ็ น nucleoid หรือ chromatin body (nuclear body) จับกั บกับ mesosome ซึ ่ซึ ่งเป งเป นโครงสร้างคล้ างคล้ายถุ ายถุง ไมมีมเย่ ีเย่อหุ อื หุ ้มนิ มนิวเคลี วเคลียส ยส ็ ็ นโครงสร้ 1.2 ไรโบโซม ไรโบโซมมีททังท่อยู อี ยู อิอสระในไซโตปลาสมและจั สิ ระในไซโตปลาสมและจับกั บกับเย่ือหุ อหุ ้มเซลล์ มเซลล์ มีขนาด ขนาด 70S ประกอบ ด้วย วย 2หน 2 หนวย วย ขนาด 50s และ 30s 1.3 แกรนูล ในไซโตปลาสมอาจมีแกรนู แกรนูล ซึ ่งเป งเป นแหลงสะสมสารอาหาร งสะสมสารอาหาร เชนอาจประกอบด้ นอาจประกอบด้วย วย โพ ็ ็ นแหล ลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ เชนไกลโคเจน นไกลโคเจน ไขมัน เชน poly -beta-hydroxybutyrate หรือ polyphosphates 1.4 สปอร์ บางจีนัส เชน บาซิลลัส และคลอสตริเดี เดียม สามารถส รถสร้างเอนโดสปอร์ างเอนโดสปอร์ (endospores) เม่ืออยู ออยู ในภาวะท่ ไม ี เหมาะสมในการเจริ เหมาะสมในการเจริญ สปอร์จะอยู จะอยู ภายในเซลล์ ภายในเซลล์ เม่ือย้ อย้อมสี อมสี และดูด้ดวยกล้ ว้ ยกล้องจุ องจุลทรรศน์ ลทรรศน์จะเห็ จะเห็นเป นเป นสวนไม วนไมติติดสี ดสีอยู อยู ภายใ ภายในเ นเซล ซลล์ล์ ขนาด ขนาด รูปร ปรางและต างและตาแหน าแหนง ็ ็ นส ื ของสปอร์สามารถน สามารถนาไปใช้ าไปใช้ ในการตรวจเอกลักษณ์ กษณ์เช เชอ 2. โครงสร้างของเอนเวลโลฟ างของเอนเวลโลฟ ประกอบด้วยเย่ วยเย่ือหุ อหุ ้มเซลล์ มเซลล์และโครงสร้ และโครงสร้างล้ างล้อมรอบไซโตปลาสม อมรอบไซโตปลาสม คือ เย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์และ และ ผนังเซลล์ งเซลล์ ในบาง สปีชีส์สยัย์ ังผลิ งผลิตแคปซู ตแคปซูลและสไลม์ ลและสไลม์ (slime layers) 2.1 เย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์ เย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์จะล้อมรอบไซโตปลาสม อมรอบไซโตปลาสม อาจเรียกว ยกวา plas plasma ma me memb mbra rane ne หรื หรือ cell cell membrane เป นเย่อหุ อื หุ ้มชนิ มชนิดไลโปโปรตี ดไลโปโปรตีน (lipoprotei (lipoprotein) n) ประกอบด้ ประกอบด้วย วย ฟอสโฟไลปิดและ ็ ็ นเย่ โปรตีน แต ไมมีมี sterol sterolss ซึ ่งต งตางจากเย่ างจากเย่อหุ อื หุ ้มของเซลล์ มของเซลล์ยูยคาริ ูคาริ โอทส์ ยกเว้นในแบคที ยกเว้นในแบคทีเรี เรียกลุ ยกลุ ม มัย โคพลา โคพลาสมา สมา หน้ าท่ของเย่ ขี องเย่อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์เก่ เก่ยวข้ ยี วข้องการควบคุมการขนส มการขนสงโมเลกุลของสารข้ ลของสารข้ามเย่ ามเย่ือ หุ ้มเซลล์ มเซลล์ การควบคุ การควบคุมแรงดั มแรงดันออสโมซิ นออสโมซิส และเ และเป นตาแหน าแหนงการเกิ งการเกิดปฏิ ดปฏิกริริ ิยาลู ยาลูกโซ กโซขนส ขนสงอิเลค เลค ็ ป ็ นต ตรอนในกระบวนการสร้างพลั างพลังงาน งงาน 2.2 ผนังเซลล์ งเซลล์ เป ็ ็ นโครงสร้ นโครงสร้างท่ างท่ทที าาให้ ให้เซลล์ เซลล์คงตั คงตัว ซึ ่งจะรั งจะรักษารู กษารูปร ปรางของเซลล์ างของเซลล์และป้ และป้องกันเซลล์แตก แตก จากแรงดันออสโมซิ นออสโมซิสท่ สท่สูสี งภายในเซล งู ภายในเซลล์ล์ โครงสร้ โครงสร้างของผนั างของผนังเซลล์ งเซลล์ของแบคที ของแบคทีเรี เรีย มีความแตก ความแตก ตางกั างกันหลายชนิ นหลายชนิด แยกตามลั กษณะการติ กษณะการติดสี ดสีย้ย้อม ชนิดของผนังเซลล์ งเซลล์ท่ทีส่สาคั า คัญๆ คือ ผนังเซลล์ งเซลล์แกรมบวก แกรมบวก ั โครงสร้างผนั างผนังเซลล์ งเซลล์ของแบคที ของแบคทีเรี เรียติ ยติดสี ดสีแกรมบวก จะมีชชนเปปทิ โดไกลแคน (peptidoglycan หรือ murein) murein) หนา และเป ็ ็ นส นสวนประกอบหลั วนประกอบหลักของผนั กของผนังเซลล์ งเซลล์แกรมบวก แกรมบวก ยา ปฏิชีชวนะท่ วี นะท่ออกฤทธิ ีออกฤทธิป ้ องกั องกันการสังเคราะห์ งเคราะห์เปปติ เปปติ โด โดไกลแ ไกลแคน คน จะม จะผลต มี อแบคที อแบคทีเรี เรียแกรมบวก ยแกรมบวก ั มากกวาแบคที าแบคทีเรี เรียแกรมลบซึ ยแกรมลบซึ ่งมี งมีชชนของเปปติ โดไกลแคนบางกวาและมี าและมี โครงสร้างส างสวนประกอบ วนประกอบ ของผนังเซลล์ งเซลล์แตกต แตกตางออกไป างออกไป 11
เปปติ โดไกลแคน ประกอบด้วยสายโพลี วยสายโพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ (glycan) ท่ี สลั สลับกั บกันระหว นระหวาง าง Nacetyl-D-glucosamine (NAG) และ N-acetyl-D-muramic acid acid (NAM) โดยมีเปปไทด์ เปปไทด์ ั สายสนๆ ประกอบด้วยกรดอะมิ วยกรดอะมิ โน 4 ชนิด (tetrapeptide) จับกั บกับหมู คาร์ คาร์บอกซิ บอกซิของ NAM ดัง ภาพท่ี 3 (a) สายไกลแคนมีการจั การจับข้ บข้ามกั ามกัน เกิดเป ดเป นรางข างขาย ในแบคทีเรี เรียแกรมบวกการจั ยแกรมบวกการจับจะ บจะ ็ ็ นร เช่อมกั อื มกันระหว นระหวางสองเตตราเปปไทด์ างสองเตตราเปปไทด์ท่ทจัจี่ ับกั บกับ NAM ด้วยสะพานเปป วยสะพานเปปไทด์ ไทด์ (peptide (peptide interbrid interbrid ge)ดังภาพท่ งภาพท่ี 3 (b) สวนประกอบอ่ วนประกอบอ่ืนของผนังเซลล์ งเซลล์แกรมบวก แกรมบวก คือ กรดเทโคอิก (teichoic acid) ซึ ่ซึ ่งเป งเป ็ ็ น สายโพลีเมอร์ เมอร์ของฟอสเฟต ของฟอสเฟต และกลีเซอรอลซึ เซอรอลซึ ่งมี โมเลกุลเล็ ลเล็กๆ กๆ เชน อะลานีน (D-alanine) หรือ กูลโคส ลโคส หรือ โมเลกุลชนิ ลชนิดอ่ ดอ่ืนเกาะอยู ดังภาพท่ี 4a โดยกรดเทโคอิกจะฝั กจะฝังในชันเปปติ โดไกล นเปปติ โดไกล ี แคน นอกจากนยังมี งมี กรดไลโปเทโคอิก(lipoteichoic ก(lipoteichoic acid) ฝังอยู อยู ในเย่ อหุ อื หุ ้มเซลล์ มเซลล์ดัดังภาพท่ งภาพท่ี ี ั 4b กรดทงสองชนิดนเป นสวนประกอบจ วนประกอบจาเพาะในผนั าเพาะในผนังเซลล์ งเซลล์ของแบคทีเรี เรียแกรมบวก ยแกรมบวก ็ ็ นส สายโพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ ท่มีมี ีคุคณสมบั ุณสมบัติติเป เ ็ ป ็ นแอนติ นแอนติเจน เจน (antigenic polysaccharide) อาจ ั พบได้ท่ทผิผี่ วของช วิ ของชนเปปติ โดไกลแคน
ภาพท่ี 3 การเช่ การเช่ อมข้ ือมข้ามกั ามกันระหว นระหวางสายโพลี างสายโพลีเมอร์ เมอร์ NAM-NAG ในแบคทีเรี เรียแกรมลบ ยแกรมลบ (a) แกรมบวก (b)
12
ภาพท่ี 4 โครงสร้างทางเคมี างทางเคมีของกรดเทโคอิ ของกรดเทโคอิก (a) และการเกาะบนช และการเกาะบนชันของเปปติ โดไกล แคนของกรดเทโคอิก หรือบนพลาสมาเมมเบรนของไลโปเทโคอิ อบนพลาสมาเมมเบรนของไลโปเทโคอิก (b) ผนังเซลล์ งเซลล์แบคที แบคทีเรี เรียทนกรด ยทนกรด แบคทีเรี เรียบางจี ยบางจีนันัส เชน มัยโคแบคที ยโคแบคทีเรี เรีย (Myc (Mycob obac acte teria ria)) และ และ โนคา โนคารเด รเดีี ย ั (Nocardia) มี โครงสร้างผนั างผนังเซลล์ งเซลล์แบบแกรมบวก แบบแกรมบวก แตเน่ เน่องจากมี อื งจากมีชชนของไขมั นปริมาณสู มาณสูง ซึ ่ง ี ชันไขมันนประกอบด้ วย วย ไกลโคไลปิด (glycolipids) กั บกรดไขมั บกรดไขมัน คือ กรดมัยโคลิ ยโคลิก จับอยู บอยู ท่ที่ ด้านนอกของผนั านนอกของผนังเซล ง เซลล์ล์ ทาให้ าให้ย้ยอมติ ้อมติดสี ดสีแกรม แกรมยา ยากก แต แตสามารถย้ สามารถย้อมสี อมสีทนกร ท นกรดด (aci (acidd-fa fast st stain) ผนังเซลล์ งเซลล์แกรมลบ แกรมลบ ผนังเซลล์ งเซลล์ของแบคที ของแบคทีเรี เรียแกรมลบ ยแกรมลบ ประกอบด้วย วย 2 ชัน คือช อชันของเปปติ โดไกลแคน อยู ด้ดานในจะบางกว า้ นในจะบางกวาท่ าท่พบในผนั ีพบในผนังเซลล์ งเซลล์ของแบคที ของแบคทีเรี เรียแกรมบวก ยแกรมบวก ท่ีเย่ เย่อหุ อื หุ ้มช มชันนอกยังประกอบ ด้วย วย โปรตีน ฟอสโฟไลปิ ฟอสโฟไลปิ ด (phospholipids) และไลโปโพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ (lipopolysaccharide, LPS) ดังภาพท่ งภาพท่ี 5a โครงสร้างของไลโปโพลี างของไลโปโพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ ประกอบด้วย วย 3 สวน วน ดังแสดงในภาพท่ งแสดงในภาพท่ี 5b สวน วน ั ประกอบทงสาม คือ 1) โพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ โอ แอนติเจน เจน (antigenic-O-specific polysaccharide) 2) โพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์สสวนแกน ว นแกน (core polysaccharides) และ 3) ไลปิ ไลปิ ด เอ (lipid A) หรืออาจเรี ออาจเรียก ยก endotoxin ซึ ่งเป งเป นสาเหตุของการเกิ ของการเกิดไข้ ดไข้ และอาการชอคในผู ้ปปว ยติด ็ ็ นสาเหตุ ื เชอแบคทีเรี เรียแกรมลบ ยแกรมลบ เย่อหุ อื หุ ้มช มชันนอกในแบคทีเรี เรียแกรมลบ ทาหน้ า หน้าท่ าท่ป้ีปอ้ งกันสารท่ นสารท่ ไม ี เข้ เข้ากั ากับน้ บน้ (hydro (hydropho phobic bic)) และสาร และสารท่ท่เป เี ็ ป ็ นอั นอันตรายต นตรายตอเซลล์ อเซลล์ โดยกรองให โดยกรองให้ โปรตี ้ นท่ นท่ละลายน้ ลี ะลายน้ ได้ผผานตาม า นตาม ี ี ชอง อง ชองเหล องเหลาน านมีสสวนประกอบเป ว นประกอบเป ็ ็ นโปรตี นโปรตีน ดังภาพท่ งภาพท่ี 5a นอกจากนยังทาาหน้ หน้าท่ าท่ีเป เ ็ ป ็ นบริ นบริเวณ เวณ จับส บสาหรั าหรับเสริ บเสริมการเกาะติ มการเกาะติดกั ดกับเซลล์ บเซลล์ของโฮสต์บริ บริเวณระหว เวณระหวางเย่ างเย่อหุ อื หุ ้ม (perip (periplas lasmic mic space) space) ั ั ั อยู ระหว ระหวางเย่ างเย่อหุ อื หุ ้มช มชนนอกและเย่อหุ อื หุ ้มช มชนใน ซึ ่ซึ ่งจะรวมช งจะรวมชนของเปปติ โดไกลแคนไว้ด้ดวย ว้ ย ภายใน ี บริเวณน เวณนจะมี สารคล้ สารคล้ายวุ ายวุ ้น (gel (gel-l-lik ikee ma matr trix ix)) ซึ ่งประกอบด้ งประกอบด้วยโปรตี วยโปรตีนซึ นซึ ่งจับกับสารอาหาร และเอนไซม์ท่ทสลายและท ี่สลายและทาลายสารพิ าลายสารพิษ
13
a)
b)
ภาพท่ี 5 โครงสร้างผนั างผนังเซลล์ งเซลล์ของแบคทีเรี เรียแกรมบวก ยแกรมบวก (a) และโครงสร้ างของไลโปโพลี างของไลโปโพลีแซค แซค คาไรด์ (b)
14
กลุ มไม มไมมีมผนั ีผนังเซลล์ งเซลล์ แบคทีเรี เรียในกลุ ยในกลุ ม มัยโคพลาสมา ยโคพลาสมา (Mycoplasma) และยูเรี เรียพลาสมา ยพลาสมา (Ureaplasma) เป ็ ็ นแบคที นแบคทีเรี เรียท่ ยท่ ไม ี มีมผนั ีผนังเซลล์ งเซลล์ และท่ีเย่ เย่อหุ อื หุ ้มยั มยังมี งมีสารสเตอรอลซึ สารสเตอรอลซึ ่งไม งไมพบตาม พบตาม ปกติ ในโปรคาริ โอทส์ การท่แบคที แี บคทีเรี เรียไม ยไมมีมผนั ีผนังเซลล์ งเซลล์ททาาให้ ให้แบคที แบคทีเรี เรียกลุ ยกลุ มน มนมีี รูรูปร ปรางได้ างได้หลาย หลาย แบบ (pleomorphic shape) ภาวะท่ ไม ี มีมผนั ีผนังเซลล์ งเซลล์สามารถท สามารถทาให้ าให้เกิ เกิดได้ ดได้กักับแบคที บแบคทีเรี เรียท่ ยท่ีมีมผนั ผี นังเซลล์ งเซลล์ตามปกติ ตามปกติ โดย ี ั การเพาะเลยงในยาปฏิชีชวนะท่ วี นะท่ยัยี ับย บยงการสังเคราะห์ งเคราะห์ผนั ผนังเซลล์ งเซลล์ แบคทีเรี เรียท่ ยท่ ไม ี มีมผนั ผี นังเซลล์ งเซลล์ท่ทสร้ ี่สร้าง าง ี ในห้องทดลองน องทดลองนเรียกว ยกวาอยู าอยู ในรู ป L- forms 2.3 โพลีเมอร์ เมอร์ท่ที่ผิผวเซลล์ วิ เซลล์ แคปซูล แบคทีเรี เรียก ยกอโรคหลายชนิ อโรคหลายชนิดสามารถผลิ ดสามารถผลิตแคปซู ตแคปซูล ซึ ่งสร้ งสร้างจากโพลี างจากโพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ แม้ววา ื อาจมี โพลีเปปไทด์ เปปไทด์ แคปซูลท ลทาาให้ ให้เช เชอมีความรุ ความรุนแรงในการก นแรงในการกอโรค อโรค จึงจั งจัดแคปซู ดแคปซูลเป ลเป นปัจจัยหนึ ยหนึ ่ง ็ ็ นปั ท่ีททาาให้ ให้เกิ เกิดอาการรุ ดอาการรุนแรง นแรง (virulence factors) แคปซูลจะท ลจะทาาให้ ให้จุจลิลุ นทรี นิ ทรีย์ย ไม ์ ถูถกจั กู จับกิ บกินโดย นโดย ั กระบวนการ phagocytosis และในการตรวจเอกลักษณ์ กษณ์บางคร บางครงต้องแยกแคปซู องแยกแคปซูลออก ลออก เชน การทา serologic typing การตรวจ agglutination แคปซูลไม ลไมสามารถย้ สามารถย้อมได้ อมได้ด้ดวยสี ว้ ยสีย้ยอมท่ ้อมท่ัวไป วไป เชนสี นสีย้ยอมแกรม ้อมแกรม หรือ อินเดี นเดียน ยน อิงค์ งค์ ดังน งนัน ื ถูถี กู ย้อมและพ ื จะปรากฏเป็นรัศมี ศมีรอบเช รอบเชอท่ อมและพนสไลด์ ท่ที่ติตดสี ดิ สีย้ยอม ้อม สไลม์ (slime) สไลม์มีมลัลี ักษณะคล้ กษณะคล้ายแคปซู ายแคปซูลแต ลแตเป เ ็ ป ็ นช นชันท่ีมีมลัีลักษณะกระจายตั กษณะกระจายตัวมากกว วมากกวา ประกอบด้วย วย ั โพลีแซคคาไรด์ แซคคาไรด์ ทาหน้ าหน้าท่ าท่ ในการยั ี บยงกระบวนการจับกิ บย บกิน (phagocytosis) หรือบางกรณี อบางกรณีชชวย ว ย ื ในการเกาะติดกั ดกับเน บเนอเย่อโฮสต์ อื โฮสต์ 2.4 สวนระยางค์ วนระยางค์ของเซลล์ ของเซลล์ (Cell appendages) แฟลกเจลลา แฟลกเจลลาทาหน้ าหน้าท่ ในการเคล่ ี อนท่ อื นท่ี ประกอบด้วยโปรตี วยโปรตีน เม่อหมุ อื หมุนจะท นจะทาให้ าให้ แบคทีเรี เรียเคล่ ยเคล่อนท่ อื นท่ี จานวนของแฟลกเจลลาและการจั านวนของแฟลกเจลลาและการจัดเรี ดเรียงสามารถใช้ ยงสามารถใช้ประกอบการตรวจ ประกอบการตรวจ เอกลักษณ์ กษณ์ของแบคทีเรี เรีย พิ ไล พิ ไลหรือ fimbriae เป ็ ็ นโครงสร้ นโครงสร้างโปรตี างโปรตีน ลักษณะคล้ กษณะคล้ายขนท่ ายขนท่ชชี วยการเกาะติ ว ยการเกาะติดบนผิ ดบนผิว สวนพิ วนพิ ไลชนิดพิ ดพิเศษเรี เศษเรียก ยก sex pili เก่ียวข้ ยวข้องกั องกับการคอนจู บการคอนจูเกชั เกชันและการแลกเปล่ นและการแลกเปล่ยนยี ยี นยีน แบคทีเรี เรียก ยกอโรคมี อโรคมี adherence pili ชวยให้ วยให้เกาะกั เกาะกับโฮสต์ บโฮสต์ ได้ดีดี โปรตีนในพิ นในพิ ไลท่ทที า หน้าท่ าท่เกาะเรี ีเกาะเรียกว ยกวา adhesins
สัณฐานวิ ณฐานวิทยาของแบคที ทยาของแบคทีเรี เรีย รูปร ปรางและการจั างและการจัดเรี ดเรียงตั ยงตัวของแบคที วของแบคทีเรี เรีย ั แบคทีเรี เรียมี ยมีขนาดแตกต ขนาดแตกตางกั างกัน ตงแต 0.4-2 ไมครอน และมักมี กมีรูรูปร ปรางเป างเป ็ ็ น ทรงกลม (cocci) รูปแท ปแทง (bacilli) หรือรู อรูปเกลี ปเกลียว ยว (spirochetes) แบคทีเรี เรียรู ยรูปทรงกลมอาจอยู ปทรงกลมอาจอยู เด่ เด่ยวๆ ยี วๆ เป นคู เชน diplococci เป นสาย เชน streptococci หรือ ็ ็ นคู ็ ็ นสาย เป นกลุ ม หรือคลั อคลัสเตอร์ สเตอร์ (cluster) เชน staphylococcus ็ ็ นกลุ แบคทีเรี เรียรู ยรูปแท ปแทง (bacilli) อาจมีขนาดและความยาวแตกตางกั างกันมาก นมาก ตังแตมีมลัีลักษณะส กษณะสันมาก เรียก ยก cocc coccobac obacilli illi จนถึงรู งรูปยาวเป ปยาวเป นแทงสาย งสาย เรียก ยก filamentous rods ท่ปลายอาจเป ปี ลายอาจเป นลักษณะมน กษณะมน ็ ็ นแท ็ ็ นลั
15
ื ี อบาซิ หรืออาจเป็ ออาจเป็นเหล่ยม ยี ม หรือปลายอาจเรี อปลายอาจเรียวแหลมท่ ยวแหลมท่เรี เี รียก ยก fusiform นอกจากนเช ลไลบางชนิ ลไลบางชนิดมีรูรูป โค้ง ถ้าแบคที าแบคทีเรี เรียใดมี ยใดมีขนาดและรู ขนาดและรูปร ปรางได้ างได้แตกต แตกตางกั างกัน เรียกว ยกวา pleomorphi pleomorphicc การจัดเรี ดเรียงตั ยงตัวของ วของ แบคทีเรี เรียรู ยรูปแท ปแทง อาจอย ู เป เ ็ ป ็ นแท นแทงเด่ งเด่ยี วๆ เ ็ ป ็ นสาย หรืออาจจั ออาจจัดเรี ดเรียงในลั ยงในลักษณะข้ กษณะข้างต างตอข้ อข้าง เรียก ยก palisa palisadin dingg สาหรั าหรับแบคที บแบคทีเรี เรียพวกสไปโรคี ยพวกสไปโรคีทส์ ทส์จะมี จะมีความยาวแตกต ความยาวแตกตางกั างกันและจาานวนเกลี นวนเกลียวแตกต ยวแตกตางกั างกัน การย้อมสี อมสีจุจลิลุ นิ ทรีย์ย์ การศึกษารู กษารูปร ปรางของแบคที างของแบคทีเรี เรียด้ ยด้วยกล้ วยกล้องจุ องจุลทรรศน์ ลทรรศน์ จาาเป เป นต้องย้ องย้อมสี อมสีเน่ เน่ืองจากการสองดู องดู ็ ็ นต้ ื อน้ แบคทีเรี เรียโดยตรงมั ยโดยตรงมักเห็ กเห็นไม นไมชัชัดเจนเน่ ดเจนเน่องจากความไม อื งจากความไมแตกต แตกตางของเซลล์ างของเซลล์กักับสีของอาหารเพาะเช ของอาหารเพาะเชอหรื อน้ การย้อมสี อมสีนอกจากจะท นอกจากจะทาให้ าให้เห็ เห็นรู นรูปร ปรางหรื างหรือส อสวนประกอบต วนประกอบตางๆ างๆ ของแบคทีเรี เรีย เชน สปอร์ แฟลกเจลลา ได้ชัชัดเจนแล้ ดเจนแล้ว ยังสามารถใช้ งสามารถใช้แยกความแตกต แยกความแตกตางของผนั างของผนังเซลล์ งเซลล์ของแบคทีเรี เรียออกเป ยออกเป นกลุ มได้ มได้อีอกด้ กี ด้วย วย ็ ็ นกลุ ี ลิลนิ ทรีย์ย์ การเจริญของจุ ญของจุลนทรี นิ ทรีย์ยและอาหารท่ ์และอาหารท่ ใช้ ี เล เลยงจุ แบคทีเรี เรียมี ยมีความต้ ความต้องการสารอาหารส องการสารอาหารสาหรั าหรับการเจริ บการเจริญ 3 อยาง าง คือ 1. สารอ สารอาห าหาร ารทท่ีจะเป จะเป นแหลงคาร์ งคาร์บอน บอน เพ่อสร้ อื สร้างองค์ างองค์ประกอบของเซลล์ ประกอบของเซลล์ ็ ็ นแหล 2. สารอ สารอาห าหาร ารทท่ีจะเป จะเป นแหลงไนโตรเจน งไนโตรเจน เพ่อสร้ ือสร้างโปรตี างโปรตีน ็ ็ นแหล 3. สารอ สารอาห าหาร ารทท่ีจะเป็ จะเป็นแหลงพลั งพลังงาน งงาน (ATP) เพ่ เพ่ อใช้ อื ใช้ ในการทางานของเซลล์ างานของเซลล์ สาหรั าหรับธาตุ บธาตุหรื หรือโมเลกุ อโมเลกุลอ่ ลอ่นๆ นื ๆ ต้องการเพี องการเพียงปริ ยงปริมาณเล็ มาณเล็กน้ กน้อย อย เชน ฟอสเฟต สาหรั าหรับสั บสังเคราะห์ งเคราะห์ กรดนิวคลิ วคลิอิอกิ โลหะและไอออน สาาหรั หรับการท บการทางานของเอนไซม์ างานของเอนไซม์ แบคทีเรี เรียต ยตางชนิ างชนิดกั ดกันมีความสามารถ ความสามารถ ี ในการใช้แหล แหลงของธาตุ งของธาตุหรื หรือโมเลกุ อโมเลกุลเหล ลเหลาน านแตกตางกั างกัน ความต้องการสารอาหารท่ องการสารอาหารท่สสี าคั า คัญในการเจริ ญในการเจริญ แบคทีเรี เรียสามารถแบ ยสามารถแบงเป งเป ็ ็ น 2 กลุ กลุ มตามแหล มตามแหลงท่ งท่ ได้ ี มาของคาร์ มาของคาร์บอน บอน กลุ มท่ มท่ี 1 Autotrophs หรือ Lithotrops ี ็ ็ น พวกท่เจริ แบคทีเรี เรียกลุ ยกลุ มน มนเป เี จริญได้ ญได้ โดยใช้ คาร์บอนไดออกไซด์ บอนไดออกไซด์เป เ ็ ป ็ นแหล นแหลงส งสาคั าคัญแหล ญแหลงเดี งเดียว ยว ของคาร์บอน บอน ซึ ่งยั งยังอาจแบ งอาจแบงออกเป งออกเป อยๆ ตามแหลงของการได้ งของการได้มาของพลั มาของพลังงาน งงาน คือ ็ ็ น 2 พวกยอยๆ 1) พวกท ได้ ี ่ ได้พลั พลังงานจากแสง งงานจากแสง เรียก ยก phototrophs และ 2) พวกท ได้ ี ่ ได้พลั พลังงานจากการออกซิ งงานจากการออกซิเดชั เดชันสารประกอบอนิ นสารประกอบอนินทรีย์ย์ เรียก ยก chemolithotrophs กลุ มท่ มท่ี 2 Heterotrophs แบคทีเรี เรียกลุ ยกลุ มน มนต้ี องการสารเชิ องการสารเชิงซ้ งซ้อนมากขึ นส นสาหรั าหรับการเจริ บการเจริญเติ ญเติบโต บโต คือต้ อต้องการสารอิ องการสารอินทรี นทรีย์ย์ เป นแหลงของคาร์ งของคาร์บอน บอน เชนกู นกูลโคส ลโคส และได้พลั พลังงานจากการออกซิ งงานจากการออกซิ ไดซ์หรื หรือหมั อหมักสารอิ กสารอินทรีย์ย์ สารชนิด ็ ็ นแหล ั เดียวกั ยวกัน เชน กูลโคส ลโคส มักเป กเป นทงแหลงของคาร์ งของคาร์บอนและแหล บอนและแหลงของพลั งของพลังงาน งงาน ็ ็ นท แบคทีเรี เรียทุ ยทุกชนิ กชนิดท่ ดท่ีอาศั อาศัยในร ยในรางกายมนุ างกายมนุษย์ เป ็ ็ นพวก นพวก heterotrophic bacteria คือต้ อต้องการ องการ ี สารอินทรี นทรีย์ยเป เ์ ็ ป ็ นแหล นแหลงของคาร์ งของคาร์บอน บอน อยางไรก็ างไรก็ตามแบคที ตามแบคทีเรี เรียในกลุ ยในกลุ มน มนมีความต้ ความต้องการสารอาหารแตก องการสารอาหารแตก Pseudomonas aeruginosa สามารถใช้ ตางกั างกันมาก นมาก แบคทีเรี เรีย เชน Escherichia coli, Pseudomonas สารประกอบอินทรีย์ยมากมายหลายชนิ ์มากมายหลายชนิดเป ดเป ็ ็ นแหล นแหลงคาร์ งคาร์บอน บอน ดังน งนันสามารถเจริญได้ ญได้ ในอาหารชนิด ธรรมดาท่มีมี ในห้ ี องปฏิ องปฏิบับัติติการ การ สวนแบคที วนแบคทีเรี เรียก ยกอโรคอ่ อโรคอ่นๆ นื ๆ เชน Haemophilus influenza และแอนแอโรบส์ เป ็ ็ นแบคที นแบคทีเรี เรียท่ ยท่ี ี ี เพาะเลยงยาก เรียก ยก fastidious bacteria แบคทีเรี เรียเหล ยเหลาน านต้องการสารเมตาบอไลท์ องการสารเมตาบอไลท์ (metabolites) อ่นๆ นื ๆ เพิ ่มเติ มเติม เชนไวตามิ นไวตามิน พิวรี วรีนส์ นส์ ไพริมิมิดีดนส์ นี ส์ และฮี โมโกลบิน ื มีมี ตาม ี วยอาหารเล ี อท่ แบคทีเรี เรียก ยกอโรคบางชนิ อโรคบางชนิดเช ดเชน คลามิดเดี ดเดีย ไมสามารถเพาะเล สามารถเพาะเลยงด้ วยอาหารเลยงเช ีตาม ื ือเพาะเล ี ี เน่องจากเป ปกติ ในห้องปฏิ องปฏิบับัติตการแต ิการแตต้ต้องเพาะเล องเพาะเลยงในเน อเย่ อเพาะเลยง อื งจากเป ็ ็ นแบคที นแบคทีเรี เรียชนิ ยชนิดท่ ดท่ีเจริ เจริญ
16
ี องใช้ ภายในเซลล์เท เทาน านัน(intracellular bacteria) และการตรวจหาแบคทีเรี เรียเหล ยเหลาน านจะต้ องใช้วิวธีธิ ีการท่ การท่ี แตกตางจากท่ างจากท่ ใช้ ี ในการตรวจหาแบคทีเรี เรียท่ ยท่ัวไป วไป ี ชนิดของอาหารเพาะเล ดของอาหารเพาะเลยงแบคทีเรี เรีย ื ี ั 1. อาหา อาหารเ รเพา พาะเ ะเลลยงเชอขนต (Minimal medium) ี อาหาร minimal medium เป นอาหารเพาะเลยงแบคที เรี เรียท่ ยท่มีมี สสี วนประกอบง ว นประกอบงายๆ ายๆ และมี ็ ็ นอาหารเพาะเล ี องค์ประกอบท่ ประกอบท่ทราบแน ที ราบแนนอน นอน อาหารชนิดน ดนมักไม กไม ใช้ ในห้องปฏิ องปฏิบัติตการส ิการสาหรั าหรับตรวจวิ บตรวจวินินจิ ฉัย แบคทีเรี เรียก ยกอโรค อโรค ื วไป ี อท่ 2. อาหา อาหารเ รเพา พาะเ ะเลลยงเช วั ไป (Nutrient medium) ื เป นสารอาหารท่มีมี ความซั คี วามซับซ้ บซ้อนยิ อนยิ ่งขึ ง ขึน และประกอบจากสารสกั ดของเนอและถ่ วเหลื วั เหลือง อง ็ ็ นสารอาหารท่ ตัวอย วอยางเช างเชน nutrient broth (NB) และ trypticase soy broth (TSB) ื าหรั ื ญยาก ี อส 3. อาหา อาหารเ รเพา พาะเ ะเลลยงเช าหรับเช บเชอเจริ ญยาก (Enriched medium) ื มีมี การเติ ี อท่ เป ็ ็ นอาหารเพาะเล นอาหารเพาะเลยงเช ีการเติมปั มปัจจัยท่ ยท่ีชชวยในการเจริ ว ยในการเจริญ เชน เลือด อด ไวตามิน สารสกัด จากยีสต์ สต์ ตัวอย วอยาง าง เชน blood agar และ chocolate agar ื าหรั ี อส 4. อาหา อาหารเ รเพา พาะเ ะเลลยงเช าหรับคั บคัดเลื ดเลือกชนิ อกชนิดของเช ดของเชอื (Selective medium) ี เป นอาหารเพาะเลยงแบคที เรี เรียท่ ยท่มีมี การเติ ีการเติมสารเพิ มสารเพิ ่มขึ ม ขึนเพ่ นเพ่อประโยชน์ อื ประโยชน์ ในการยับย บยังการ ็ ็ นอาหารเพาะเล เจริญของแบคที ญของแบคทีเรี เรียบางชนิ ยบางชนิด แตแบคที แบคทีเรี เรียชนิ ยชนิดอ่ ดอ่ืนยังเจริ งเจริญได้ ญได้ ตัวอย วอยาง าง คือ MacConkey agar ื ื ี 5. อาหา อาหารเ รเพา พาะเ ะเลลยงเชอท่สามารถแยกความแตกต สี ามารถแยกความแตกตางของเช างของเชอ (Differential medium) เป นอาหารท่ ใช้ ี สสาหรั า หรับตรวจดู บตรวจดูความแตกต ความแตกตางของเมตาบอลิ างของเมตาบอลิสมระหว สมระหวางกลุ างกลุ มหรื มหรือ สปีชส์สี ของ ์ของ ็ ็ นอาหารท่ แบคทีเรี เรีย ตัวอย วอยางเช างเชน MacConkey agar และ Blood agar ื 6. อาหารสาาหรั หรับเก็ บเก็บเช บเชอระหว างส างสงตั งตัวอย วอยาง าง (Transport medium) ี โดย เป นอาหารท่ ใช้ ี สสาหรั า หรับคงรั บคงรักษาให้ กษาให้จุจลิลุ นทรี นิ ทรีย์ย์มีมีชีชวิวี ตอยู ติ อยู ระหว ระหวางรอการน างรอการนาไปเพาะเล าไปเพาะเลยง ็ ็ นอาหารท่ ไมมีมการเพิ ีการเพิ ่มจ มจานวน านวน ตัวอย วอยาง าง เชน Stuart broth
การเจริญและเมตาบอลิ ญและเมตาบอลิสมของแบคที สมของแบคทีเรี เรีย ปัจจัยท่ ยท่มีมี ผลต ีผลตอการเจริ อการเจริญของแบคที ญของแบคทีเรี เรีย ปัจจัยส ยสาาคัคัญท่ ญท่ผลต ผี ลตอการเจริ อการเจริญของแบคที ญของแบคทีเรี เรียมี ยมี 3 อยาง าง คือ 1. ความเ ็ ป ็ น กรด-ดาง าง 2. อุณหภูมิมิ 3. องค์ประกอบของก๊าซในบรรยากาศ าซในบรรยากาศ ี แบคทีเรี เรียก ยกอโรคส อโรคสวนมากเจริ วนมากเจริญได้ ญได้ดีดท่ที ีสุ่สดในสภาพเป ดุ ในสภาพเป นกลาง (pH 7) อาหารเพาะเลยง ็ ็ นกลาง แบคทีเรี เรียส ยสวนใหญ วนใหญจึจงถู งึ ถูกปรับให้ บให้มีมี pH อยู ระหว ระหวาง าง 7.0-7.5 อุณหภู ณหภูมิมมีมิ ผลต ีผลตออั ออัตราการเจริ ตราการเจริญของแบคที ญของแบคทีเรี เรีย จุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์จึจงสามารถถู งึ สามารถถูกจั กจัดแบ ดแบงออกตาม งออกตาม อุณหภู ณหภูมิมท่ิทเหมาะสมส ี่เหมาะสมสาหรั าหรับการเจริ บการเจริญได้ ญได้เป เ ็ ป ็ น 3 กลุ ม คือ 1. พวก Psyc Psychro hroph phililes es เป นแบคทีเรี เรียท่ ยท่เจริ เี จริญได้ ญได้ดีดท่ที ี่สุสดท่ ดุ ท่อุอี ณหภู ณ ุ หภูมิมิตต ในชวง วง 10-20 องศา ็ ็ นแบคที เซนติเกรด เกรด เชนในทะเลอาร์ นในทะเลอาร์คติ คติค (arctic sea) 2. พว พวกก Mes Mesop ophi hile less เป เ ็ ป ็ นแบคที นแบคทีเรี เรียท่ ยท่เจริ เี จริญได้ ญได้ดีดท่ที ี่อุอณหภู ณ ุ หภูมิมปานกลาง ิปานกลาง คือ ระหวาง าง 20-40 องศาเซนติเกรด เกรด 3. พวก Ther Thermo moph phililes es เป นแบคทีเรี เรียท่ ยท่เจริ เี จริญได้ ญได้ดีดีท่ทอุอี่ ณหภู ณ ุ หภูมิมสูิสงู คือประมาณ อประมาณ 50-60 องศา ็ ็ นแบคที เซนติเกรด เกรด เชน น้ พุร้ร้อน อน แบคทีเรี เรียท่ ยท่มีมี วิวี วัวิ ัฒนาการปรั ฒนาการปรับตั บตัวมาอยู วมาอยู อาศั อาศัยในร ยในรางกา างกายม ยมนุนุษย์ ษย์ สวนมากเป วนมากเป ็ ็ น mesophiles และเจริญได้ ญได้ดีดท่ที ีสุ่สดท่ ดุ ท่อุอี ณหภู ณ ุ หภูมิม ใกล้ ิ ๆ กับอุ บอุณหภู ณหภูมิมของร ิของรางกายมนุ างกายมนุษย์ ษ ย์ คื อประ อประมา มาณ ณ 37 องศา องศาเซ เซนต นติิเกรด เกรด ี ั ดังน งนนการเพาะเลยงแบคทีเรี เรียท่ ยท่มีมี ความส คี วามสาคั าคัญทางการแพทย์ ญทางการแพทย์จึจงมั งึ มักท กทาาท่ท่อุอี ณหภู ณ ุ หภูมิมระหว ิระหวาง า ง 35-37 -37 องศา องศา 17
ื สาหรั เซลเซียส ยส จุลิลนทรี นิ ทรีย์ยกก์ อโรคบางชนิ อโรคบางชนิดชอบเจริ ดชอบเจริญท่ ญท่อุอี ณหภู ณ ุ หภูมิมตติ เชน เชอรา าหรับแบคที บแบคทีเรี เรียความสามรถ ยความสามรถ ในการเจริญท่ ญท่อุอี ณหภู ณ ุ หภูมิมห้ิห้อง (25 C) หรือท่ อท่อุอี ณหภู ณ ุ หภูมิมสูิสงถึ งู ถึง 40 C จะใช จะใช้้ ชชวยในการตรวจเอกลั ว ยในการตรวจเอกลักษณ์ แบคทีเรี เรีย แบคทีเรี เรียท่ ยท่เจริ เี จริญได้ ญได้ ในคน ยังต้ งต้องการลั องการลักษณะส กษณะสวนประกอบของบรรยากาศท่ วนประกอบของบรรยากาศท่แตกต แี ตกตางกั างกัน บาง ั ชนิดต้ ดต้องเจริ องเจริญในท่ ญในท่ท่ที ี่มีมออกซิ ีออกซิเจนเท เจนเทาน านน เรี ยก ยก obli obliga gate te aero aerobe bess แต แตบางชนิ บ างชนิดไม ดไมสามารถเจริ สามารถเจริญได้ ญได้ ใน บรรยากาศท่มีมี ออกซิ ีออกซิเจน เจน เรียก ยก obliga obligate te anaero anaerobes bes ขณะท่ ขณะที่แบคที แบคทีเรี เรียบางชนิ ยบางชนิดสามารถเจริ ดสามารถเจริญได้ ญได้ททัง ในบรรยากาศท่มีมี หรื หี รือไม อไมมีมออกซิ อี อกซิเจน เจน เรียก ยก facul facultat tative ive anaero anaerobes bes สาหรั าหรับแบคที บแบคทีเรี เรียท่ ยท่เจริ เี จริญได้ ญได้ดีด ใน ี บรรยากาศท่มีมี คาร์ คี าร์บอนไดออกไซด์ บอนไดออกไซด์สูสงู เรียกว ยกวา capnophilic bacteria การเจริญของแบคที ญของแบคทีเรี เรีย ระยะเวลาการแบงตั งตัว แบคทีเรี เรียแบ ยแบงตั งตัวจากหนึ วจากหนึ ่งเซลล์ งเซลล์เป เ ็ ป ็ นสองเซลล์ นสองเซลล์ เรียก ยก binary fission และเวลาท่ ใช้ ี สสาหรั า หรับการ บการ ั เพียง แบงตั งตัวเรี วเรียก ยก generation time หรือ doubling time ซึ ่งอาจจะเป งอาจจะเป ็ ็ นเวลาส นเวลาสนๆ ยง 20 นาทีสสาหรั า หรับ แบคทีเรี เรียชนิ ยชนิดท่ ดท่เจริ เี จริญเร็ ญเร็ว เชน E. coli หรืออาจยาวนานถึ ออาจยาวนานถึง 24 ช่ัวโมงส วโมงสาาหรั หรับแบคที บแบคทีเรี เรียท่ ยท่เจริ เี จริญช้ ญช้า เชน °
°
Mycobacterium tuberculosis
กราฟการเจริญ ถ้าแบคที าแบคทีเรี เรียอยู ยอยู ในภาวะการเจริ ญท่ ญท่สมดุ สี มดุล มีสารอาหารเพี สารอาหารเพียงพอและไม ยงพอและไมมีมสารพิ ีสารพิษอยู ษอยู การเพิ ่ม ของจานวนแบคที านวนแบคทีเรี เรียจะเป็ ยจะเป็นสัดส ดสวนกั วนกับการเพิ ่มในคุ มในคุณสมบั ณสมบัติติอ่นๆของแบคที นื ๆของแบคทีเรี เรีย เชน มวล ปริมาณ มาณ ี ี โปรตีน และปริมาณกรดนิ มาณกรดนิวคลิ วคลิอิอกิ ดังน งนันการวัดคุ ดคุณสมบั ณสมบัติต ิ ใดๆ เหลาน เหลานสามารถใช้ บบงช งชการเจริ ญของ ญของ แบคทีเรี เรียได้ ถ้ าเขียนกราฟการเจริ ยนกราฟการเจริญของแบคที ญของแบคทีเรี เรีย จะได้กราฟการเจริ กราฟการเจริญ 4 ระยะ คือ 1. lag ph phase เป เ ็ ป ็ นระยะท่ นระยะท่แบคที แี บคทีเรี เรียเตรี ยเตรียมแบ ยมแบงตั งตัว 2. log ph phase เป เ ็ ป ็ นระยะท่ นระยะท่แบคที แี บคทีเรี เรียเพิ ยเพิ ่มจ มจานวนในลั านวนในลักษณะลอการิ กษณะลอการิธึธมึ 3. stat statio iona nary ry phas phasee เป เ ็ ป ็ นระยะท่ นระยะท่สารอาหารเริ สี ารอาหารเริ ่มจ มจากั ากัด จานวนแบคที านวนแบคทีเรี เรียคงท่ ยคงท่ี มีแบคที แบคทีเรี เรียท่ ยท่ี เกิดและตายในปริ ดและตายในปริมาณพอกั มาณพอกัน 4. dead dead phas hase เป เ ็ ป ็ นระยะท่ นระยะท่แบคที แี บคทีเรี เรียท่ ยท่มีมี ีชีชวิวี ตลดลงและแบคที ติ ลดลงและแบคทีเรี เรียท่ ยท่ตายมี ตี ายมีมากขึ มากขึ น การหาจานวนเซลล์ านวนเซลล์แบคที แบคทีเรี เรีย การหาจานวนเซลล์ านวนเซลล์ของแบคที ของแบคทีเรี เรีย อาจทาโดย าโดย 1. การนั บภายใต้กล้ กล้องจุ องจุลทรรศน์ ลทรรศน์ โดยตรง วิธีธีนน ใช้ ี สสาหรั า หรับประมาณจ บประมาณจานวนแบคที านวนแบคทีเรี เรียใน ยใน ั ตัวอย วอยาง าง การนับมั บมักจะรวมท กจะรวมทงแบคทีเรี เรียมี ยมีชีชวิวี ตและแบคที ิตและแบคทีเรี เรียท่ ยท่ตายแล้ ตี ายแล้ว ี 2. การนั บจากโคโลนีท่ท ี่ขึขนบนเพลทโดยตรง นึ บนเพลทโดยตรง วิธีธีนนท าโดยการเจื าโดยการเจือจางเป อจางเป นลาดั าดับในจานอาหาร บในจานอาหาร ็ ็ นล จนได้จานวนท่ า นวนท่สามารถนั สี ามารถนับได้ บได้ และหาจานวนของโคโลนี านวนของโคโลนี (colony-forming units) ตอ มิลลิ ลลิลิลตร ติ ร (CFU/ml) ในกรณีนนจะได้ ี จจานวนของเซลล์ า นวนของเซลล์แบคที แบคทีเรี เรียท่ ยท่มีมี ีชีชวิวี ตเท ติ เทาน านัน ี 3. การหาค การหาความ วามหนา หนาแน แนน ควา ความหน มหนาแน าแนนของแบ ของแบคที คทีเรี เรียท่ ยท่เล เี ลยงในอาหารเหลว (bacterial ี broth culture) ในชวง วง log phase จะสัมพั มพันธ์ นธ์กักับ CFU/ml วิธีธนนี ใช้ สสาหรั า หรับเตรี บเตรียมกล้ ยมกล้าเช าเชอื มาตรฐาน (standard inoculum) สาาหรั หรับการทดสอบความไวต บการทดสอบความไวตอยาต้ อยาต้านจุ านจุลชี ลชีพ ชีวเคมี วเคมีและเมตาบอลิ และเมตาบอลิสมของแบคที สมของแบคทีเรี เรีย เมตาบอลิสม สม เมตาบอลิสมของจุ สมของจุลิลนิ ทรีย์ย์ ประกอบด้วยปฏิ วยปฏิกิกิริริยาชี ยาชีวเคมี วเคมีท่ทแบคที ี่แบคทีเรี เรียใช้ ยใช้ ในการสลาย สารประกอบอินทรีย์ยและท่ ์และท่ ใช้ ี ในการสังเคราะห์ งเคราะห์สสวนประกอบของแบคที ว นประกอบของแบคทีเรี เรียจากโครงสร้ ยจากโครงสร้างคาร์ างคาร์บอน บอน โดย ี พลังงานท่ งงานท่ ใช้ ี ในการสังเคราะห์ งเคราะห์นน ได้ จากการสลายสารอาหาร จากการสลายสารอาหาร 18
ชนิดของปฏิ ดของปฏิกริริ ิยาชี ยาชีวเคมี วเคมีท่ทจะเกิ ี่จะเกิดขึ ด ขึนภาย น ภายใน ในเซ เซลล ลล์์ ขึนกั นกับการมี บการมีและการออกฤทธิ และการออกฤทธิข องเอนไซม์ ั จาเพาะต าเพาะตางๆ างๆ ดังน งนนการควบคุมเมตาบอลิ มเมตาบอลิสมจึ สมจึงท งทาาได้ ได้ โดยการควบคุมการสร้ มการสร้างเอนไซม์ างเอนไซม์ หรือโดยการ อโดยการ ั ควบคุมการออกฤทธิ มการออกฤทธิข องเอนไซม์ องเอนไซม์ โดยผานการยั านการยับย บยงย้อนกลั อนกลับ (feedback) (feedback) ของผลิ ของผลิตผลท่ ตผลท่เกิ เี กิดขึ ด ขึนหรือ ั ั ตอปฏิ อปฏิกิกริริ ยาของเอนไซม์ ิยาของเอนไซม์อ่อื่นซึ นซึ ่งในท่ งในท่ีสุสดให้ ดุ ให้ผลในการยั ผลในการยับย บยงฤทธิข องเอนไซม์นนน แบคทีเรี เรียต ยตางๆมี างๆมีความสามารถแตกต ความสามารถแตกตางกั างกันในการใช้ นในการใช้สารต สารตางๆ า งๆ เป นสารเริ ่มต้ มต้น (sub (subst stra rate te)) ็ ็ นสารเริ ี ี นอกจากนผลิตผลท่ ตผลท่เกิ เี กิดขึ ด ขึนยังแตกต งแตกตางกั างกันด้ นด้วย ความแตกตางกั า งกันของเมตาบอลิ นของเมตาบอลิสมเหล สมเหลาน านถูกใช้ กใช้เป เ ็ ป ็ น ลักษณะส กษณะสาาคัคัญ (phenotypic markers) สาหรั าหรับตรวจเอกลั บตรวจเอกลักษณ์ กษณ์แบคที แบคทีเรี เรีย แบคทีเรี เรียท่ ยท่ ไม ี ้รูรูววาเป า เป ็ ็ นเช นเชอื อะไร (unknown bacteria) จะถูกน กนามาวิ ามาวิเคราะห เคราะห์์ โดยการ โดยการทด ทดสอบ สอบทาง ทางชีชีวเคมี เพ่ื อหา 1. การใช้สารต สารตางๆ างๆ เป นแหลงของคาร์ งของคาร์บอน บอน ็ ็ นแหล 2. การสร้างผลผลิ างผลผลิตสุ ตสุดท้ ดท้ายจากสารเริ ายจากสารเริ ่มต้ มต้นชนิ นชนิดต ดตางๆ างๆ กัน 3. การทาาให้ ให้ pH ของอาหารเป นกรด หรือ ดาง าง ็ ็ นกรด ดังน งนันความรู ้ทางชี ทางชีวเคมี วเคมีและเมตาบอลิ และเมตาบอลิสมของแบคที สมของแบคทีเรี เรียจึ ยจึงมี งมีความส ความสาคั าคัญในการตรวจ ญในการตรวจ เอกลักษณ์ กษณ์แบคที แบคทีเรี เรียทางการแพทย์ ยทางการแพทย์ การหมักและการหายใจ กและการหายใจ แบคทีเรี เรียมี ยมีวิวิถีถชีชี วเคมี วี เคมีท่ทจะสลายคาร์ จี่ ะสลายคาร์ โบไฮเดรตและผลิตพลั ตพลังงานโดย งงานโดย 2 กลไก คื อ การหมักและ กและ การหายใจ หรือ ออกซิเดชั เดชัน การหมัก การหมักเป กเป นกระบวนการสลายสารโดยไม ใช้ออกซิ ออกซิเจน เจน ท่ีเกิ เกิดในแบคที ดในแบคทีเรี เรียกลุ ยกลุ ม obligate obligate และ ็ ็ นกระบวนการสลายสารโดยไม facultative anaerobes ในกระบวนการหมัก ตัวรั วรับอิ บอิเลคตรอน เลคตรอน คือ สารประกอบอินทรีย์ย์ การหมักมี กมี ี ั ประสิทธิ ทธิภาพในการสร้ ภาพในการสร้างพลั างพลังงานต งงานต กวาการ า การหา หายใ ยใจจ (oxi (oxida datition on)) ทงนเพราะสารเริ ่มต้ มต้นไม นไมถูถกรี กู รีดิดวซ์ วิ ซ์ ั ั อยางสมบู างสมบูรณ์ รณ์ ดั งน งนนพลังงานท งงานทงหมดในสารเริ ่มต้ มต้นจึ นจึงไม งไมถูถกปล ูกปลอยออกมา เม่อเกิ อื เกิดกระบวนการหมั ดกระบวนการหมัก จะ เกิดของผสมของผลผลิ ดของผสมของผลผลิตสุ ตสุดท้ ดท้าย าย เชน lactate, lactate, butyrate, butyrate, ethanol ethanol และ acetoin สะสมอยู ในอาหาร ื ี การวิเคราะห์ เคราะห์ผลผลิ ผลผลิตสุ ตสุดท้ ดท้ายเหล ายเหลาน านมีประโยชน์ ประโยชน์ ในการตรวจเอกลักษณ์เช เชอแอนแอโรบส์ ในการหาผลผลิตสุ ตสุดท้ ดท้าย าย ยังใช้ งใช้ ในการทดสอบทางชีวเคมี วเคมี เรียกว ยกวา Voges-Proskauer (VP ื test) และ Methyl red test ซึ ่ซึ ่งเป งเป นการทดสอบท่มีมี ความส ีความสาคั าคัญในการตรวจเอกลั ญในการตรวจเอกลักษณ์ กษณ์ของเช ของเชอในสกุ ล ็ ็ นการทดสอบท่ Enterobacteriaceae
โดยท่ัวไปค วไปคาว าวาการหมั าการหมัก มักใช้ กใช้เพ่ เพ่อช อื ชวี ามี ามีการใช้ การใช้หรื หรือสลายคาร์ อสลายคาร์ โบไฮเดรต (น้ ตาล) ท่ ให้ ี ผลผลิ ผลผลิต เป นกรด ็ ็ นกรด การหายใจ การหายใจเป นกระบวนการการผลิตพลั ตพลังงานท่ งงานท่ประสิ ปี ระสิทธิ ทธิภาพ ภาพ จะใช้ออกซิ ออกซิเจนเป เจนเป นตัวรั วรับอิ บอิเลค เลค ็ ็ นกระบวนการการผลิ ็ ็ นตั ตรอนตัวสุ วสุดท้ ดท้าย าย แบคทีเรี เรียท่ ยท่เกิ เี กิดการหายใจโดยใช้ ดการหายใจโดยใช้ออกซิ ออกซิเจน (aerobic respiration) คือ obligate ื aerobes และ facultative facultative anaerobes anaerobes อยางไรก็ างไรก็ตาม ตาม เชอแอนแอโรบส์ บางชนิ บางชนิดสามารถเกิดการ ดการ หายใจได้แต แตเป เ ็ ป ็ นชนิ นชนิดท่ ดท่เรี เี รียกว ยกวา การหายใจโดยไม ใช้ การหายใจโดยไม ใช้ออกซิ ออกซิเจน เจน (anaerobic respiration) ซึ ่ซึ ่งจะใช้ งจะใช้สา สา รอนินทรี นทรีย์ย์ เชน ไนเตรท และซัลเฟต ลเฟต ทาหน้ าหน้าท่ าท่เป เี ็ ป ็ นตั นตัวรั วรับอิ บอิเลคตรอนตั เลคตรอนตัวสุ วสุดท้ ดท้ายแทนออกซิ ายแทนออกซิเจน เจน วิถีถชีชี วเคมี วี เคมี ในการสลายกูลโคสไปเป ลโคสไปเป ็ ็ นกรดไพรู นกรดไพรูวิวคิ คาร์ โบไฮเดรตเริ ่มต้ มต้นส นสาหรั าหรับกระบวนการหมั บกระบวนการหมักหรื กหรืออกซิ ออกซิเดชั เดชันของแบคที นของแบคทีเรี เรีย คือ กูลโคส ลโคส ถ้า ั ั แบคทีเรี เรียใดใช้ ยใดใช้น้น ตาลชนิ ้ ดอ่ ดอ่ืนๆ เป นแหลงคาร์ งคาร์บอน บอน แบคทีเรี เรียน ยนนจะเปล่ยนน้ ยี นน้ ตาลชนิดน ดนนๆ ไปเป นกูล ็ ็ นแหล ็ ็ นกู ั โคสกอน อน ซึ ่งจะถู งจะถูกเปล่ กเปล่ยนต ยี นตอไปด้ อไปด้วยวิ วยวิถีถ ใดวิ ี ถีถหนึ หี นึ ่งใน งใน 3 วิถีถี ซึ ่งท งทง 3 วิถีถจะท จี ะทาให้ าให้เกิ เกิดกรดไพรู ดกรดไพรูวิวคิ ซึ ่งเป งเป ็ ็ น สารตัวกลาง วกลาง (intermediates) ท่ีสสาคั า คัญ ซึ ่งมี งมีคาร์ คาร์บอน บอน 3 อะตอม 19
วิถีถชีชี วเคมี วี เคมีหลั หลัก 3 วิถีถท่ที แบคที ี่แบคทีเรี เรียใช้ ยใช้ ในการสลายกูลโคสไปเป ลโคสไปเป นกรดไพรูวิวคิ คือ ็ ็ นกรดไพรู 1. The Embden-Meye Embden-Meyerhof-P rhof-Parnas arnas (EMP) (EMP) pathway pathway หรือ glycolytic pathway 2. The pentos pentosee phosph phosphate ate pathwa pathwayy หรื หรือ The phosphoketolase pathway 3. The Entn Entnerer-Dou Doudor doroff off path pathway way (ED) (ED) ั วิถีถทที ง 3 แสดงในภาพท่ี 6, 7, 8 ซึ ่งไพรู งไพรูเวทท่ เวทท่ ได้ ี แล้ แล้วจะถู วจะถูกเปล่ กเปล่ยนต ยี นตอไปโดยการหมั อไปโดยการหมักหรื กหรือ ออกซิเดชั เดชัน
ี ภาพท่ี 6 The Embden-Meyerhof-Parnas (EMP) pathway pathway ในวิถีถนนี น้ ตาลกู ลโคส ลโคส 1 โมเลกุ โมเลกุลจะถู ลจะถูกเปล่ กเปล่ยนไปเป ยี นไปเป ็ ็ นไพรู นไพรูเวท เวท 2 โมเลกุ โมเลกุล มีการสร้ การสร้าง าง ATP 4 โมเลกุ โมเลกุลและใช้ ลและใช้ ATP 2 โมเลกุ ล ดังน งนันจานวน ATP สุทธิ ทธิเท เทากั ากับ 2 โมเลกุล ไพรู เวทจะถู เวทจะถูกเปล่ กเปล่ยนไปเป ยี นไปเป น แลคเต เตทท 2 โมเล โมเลกกุล ใน ็ ็ นแลค อเปล่ยนไปเป ยี นไปเป นเอธานอลและคาร์บอนไดออกไซด์ บอนไดออกไซด์อย อยางละ 2 โมเลกุลในยี ลในยีสต์ สต์ Lactobacillus sp. หรือเปล่ ็ ็ นเอธานอลและคาร์ (Saccharomyces ) หรือเข้ อเข้าสู าสู วัวัฏจั ฏจักรของเครปและระบบการขนส กรของเครปและระบบการขนสงอิ งอิเลคตรอนในกระบวนการหายใจ เลคตรอนในกระบวนการหายใจ แบบแอโรบิค (ท่มา:http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303metabolism มี า:http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303metabolism))
20
ภาพท่ี 7 The phosphoketolase phosphoketolase pathway เป นวิถีถการสลายกู กี ารสลายกูลโคสให้ ลโคสให้เกิ เกิดพลั ดพลังงานท่ งงานท่มีมี ี ็ ็ นวิ ี ประสิทธิ ทธิภาพเพี ภาพเพียงครึ ยงครึ ่งเดี งเดียวของ ยวของ EMP pathway ตัวอย วอยางแบคที างแบคทีเรี เรียท่ ยท่ ใช้ ี วิวิถีถนนี คือ Streptococcus sp. จะสลายกูลโคส ลโคส 1 โมเลกุล ไปเป บอนไดออกไซด์ และ ATP อยางละ างละ 1 ็ ็ น แลคเตท เอธานอล คาร์บอนไดออกไซด์ โมเลกุล โดยมีการเปล่ การเปล่ยนเป ยี นเป นสารตัวกลางท่ วกลางท่สสี าคั า คัญ คือ pentose phosphate ็ ็ นสารตั (ท่มา: มี า: http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303metabolism http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303metabolism))
ภาพท่ี 8 The Entner-Doudoroff pathway (ED) เป ็ ็ นวิ นวิถีถการสลายกู ีการสลายกูลโคสให้ ลโคสให้เกิ เกิดพลั ดพลังงานท่ งงานท่ี ี มีประสิ ประสิทธิ ทธิภาพเพี ภาพเพียงครึ ยงครึ ่งเดี งเดียวของ ยวของ EMP pathway ตัวอย วอยางแบคที างแบคทีเรี เรียท่ ยท่ ใช้ ี วิวิถีถนนี คือ Zymomonas และ Pseudomonas sp. จะสลายกูลโคส ลโคส 1 โมเลกุล ไปเป ็ ็ น เอธานอล และคาร์บอนไดออกไซด์ บอนไดออกไซด์ อยางละ างละ 2 โมเลกุล และ ATP 1 โมเลกุล โดยมีการเปล่ การเปล่ยนเป ยี นเป นสารตัวกลางท่ วกลางท่สสี าคั า คัญ คือ KDPG (2-keto-3 ็ ็ นสารตั deoxy-6-phosphogluconic acid) (ท่มา: มี า: http://www.bact.wisc.edu/Bact3 http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303me 03/bact303metabolism) tabolism) 21
ตัวอย วอยางของแบคที างของแบคทีเรี เรียชนิ ยชนิดต ดตางๆท่ างๆท่ ใช้ ี วิวิถีถชีชี วเคมี วี เคมีแตกต แตกตางกั างกันในการสลายกู นในการสลายกูลโคสแสดงในตารางท่ ลโคสแสดงในตารางท่ี 4 ตารางท่ี 4 แบคทีเรี เรีย E-M-P pathway Phosphoketolase E-D pathway pathway วิถีถหลั ีหลัก วิถีถรี อง ไมมีม ี Bacillus subtilis ี ม ไ ม ี ม ไม มี Escherichia coli ี ม ไ ม ี ม ไม มี Lactobacillus acidophilus Pseudomonas
ี ไมม
ไมี
ม
ี
ม
aeruginosa Vibrio cholerae
วิถีถรี อง
ี ไมม
ิ
ว
ถีหลั หลัก
การสลายกรดไพรูวิวคของแบคที คิ ของแบคทีเรี เรียในกระบวนการหมั ยในกระบวนการหมัก (Fermentation) กรดไพรูวิวคเป คิ เป นสารตัวกลางในเมตาบอลิ วกลางในเมตาบอลิสมท่ สมท่ีสสาคั า คัญ แบคทีเรี เรียจะเปล่ ยจะเปล่ยนกรดไพรู ยี นกรดไพรูวิวคต คิ ตอไปได้ อไปได้ ็ ็ นสารตั ี หลายวิถีถี ในแตละวิ ละวิถีถจะให้ จี ะให้ผลิ ผลิตผลสุ ตผลสุดท้ ดท้ายแตกต ายแตกตางกั างกัน แสดงในภาพท่ี 9 ซึ ่ซึ ่งผลผลิ งผลผลิตเหล ตเหลาน านสามารถใช้ ื ประโยชน์ ในการตรวจเอกลักษณ์ของเช ของเชอ
ภาพท่ี 9 การสลายกรดไพรูวิวคในกระบวนการหมั ิคในกระบวนการหมักไปเป กไปเป นผลผลิตต ตตางๆ างๆ ของแบคทีเรี เรียชนิ ยชนิดต ดตางๆ างๆ ็ ็ นผลผลิ (ท่มา: มี า: http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303metabolism http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303metabolism)) ื อาศั วิถีถการหมั กี ารหมักบางวิ กบางวิถีถท่ที ี่ถูถกใช้ กู ใช้ โดยเชอท่ อี าศัยอยู ยอยู ภายในร ภายในรางกาย างกาย มีดัดังน งน ี 1. การหมั กท่ ได้ ี แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ (alcoholic fermentation) ผลิตผลส ตผลสาคั าคัญท่ ญท่เกิ เี กิดขึ ด ขึนคื นคือ เอธานอล วิถีถนนี ใช้ ี โดยยีสต์ สต์ เม่อหมั อื หมักน้ กน้ ตาลกูลโคส ลโคส และ ผลิตเอธานอล ตเอธานอล 2. การหมั กท่ ได้ ี กรดแลคติ กรดแลคติกอย กอยางเดี างเดียว ยว (Homolactic fermentation) 22
3. 4. 5.
6.
7.
ผลผลิตสุ ตสุดท้ ดท้ายเกื ายเกือบท อบทังหมดเป็นกรดแลคติก สมาชิกทุ กทุกตั กตัวในจี วในจีนันัส Streptococcus และสมาชิกหลายตั กหลายตัวในจี วในจีนันัส Lactobacillus ท่หมั ีหมักไพรู กไพรูเวทโดยวิ เวทโดยวิถีถนนี ี การหมั กท่ ได้ ี กรดแลคติ กรดแลคติก รวมกั วมกับกรดอ่ บกรดอ่ ืนๆ (Heterolactic fermentation) ื เชอ Lactobacilli บางชนิดใช้ ดใช้วิวถีถิ การหมั ีการหมักผสมน กผสมน ี ซึ ่งจะได้ งจะได้ผลผลิ ผลผลิตอ่ ตอ่นๆ ืนๆ นอกจากกรด แลคติก คือ คาร์บอนไดออกไซด์ บอนไดออกไซด์ แอลกอฮอล์ กรดฟอมิก และกรดอะซีติติก การหมั กท่ ได้ ี กรดโพรพิ กรดโพรพิ โอนิก (Propionic acid fermentation) ื เชอื Propionibacterium acnes และเชอแกรมบวกแอนแอโรบส์ รูรูปแท ปแทงท่ งท่ ไม ี สร้ สร้างส างส ปอร์ มีการหมั การหมักท่ กท่ผลผลิ ผี ลผลิตสุ ตสุดท้ ดท้ายท่ ายท่สสี าคั า คัญ คือ กรดโพรพิ โอนิก การหมั กท่ ได้ ี กรดผสมหลายอย กรดผสมหลายอยาง าง (Mixed acid fermentation) สมาชิกของแบคที กของแบคทีเรี เรียในจี ยในจีนันัส Escherichia, Salmonella และ Shigella ซึ ่งเป งเป ็ ็ น ี สมาชิกในสกุ กในสกุล Enterobacteriaceae ใช้ ใช้วิวิถีถนนี ในการหมั กและผลิ กและผลิตผลสุ ตผลสุดท้ ดท้ายเป ายเป นกรด ็ ็ นกรด จานวนหนึ านวนหนึ ่ง คือ กรดแลคติก กรดซัคซิ คซินินคิ (succinic acid) และ กรดฟอร์มิมกิ (formic ื acid) ซึ ่งเป งเป นกรดแกท่ที่สุสดจะใช้ ดุ จะใช้เป เ ็ ป ็ นพ นพนฐานในการให้ ผลบวกในการทดสอบเมธิ ผลบวกในการทดสอบเมธิลเรด ลเรด ็ ็ นกรดแก (methyl red) การหมั กท่ ได้ ี บิวทานี วทานี ไดออล (Butanediol fermentation) สมาชิกของแบคที กของแบคทีเรี เรียในจี ยในจีนันัส Klebsiella, Enterobacter และ Serratia ซึ ่งเป งเป ็ ็ น ี ี สมาชิกในสกุ กในสกุล Enterobacteriaceae ท่ ใช้ ี วิวิถีถนนี ในการหมั กน้ กน้ ตาลน และให้ ผลผลิ ผลผลิตคื ตคือ acetoin (acetyl (acetyl methyl carbinol) และ 2, 3- butanediol การตรวจหา acetoin acetoin ื จึงเป งเป นพนฐานของการทดสอบ Voges-Proskauer (VP) reaction ของแบคทีเรี เรียกลุ ยกลุ มน มน ี ็ ็ นพ เน่องจากกรดจะสร้ อื งจากกรดจะสร้างมาน้ างมาน้อยในวิถีถนนี ี ดังน งนันจุลิลนิ ทรีย์ยท่ท์ ให้ ี่ ผลบวก ผลบวก VP reaction มักจะให้ กจะให้ ผลลบตอ methyl red test และกลับกั บกัน การหมั กท่ ได้ ี กรดบิ กรดบิวที วทีริรคิ (Butyric acid fermentation) เชอื obligate anaerobes บางชนิด รวมทัง Clostridium spp., Fusobacterium, และ Eubacterium ผลิตกรดบิ ตกรดบิวที วทีริรคิ เป นผลิตผลสุ ตผลสุดท้ ดท้ายท่ ายท่สสี าคั า คัญ รวมกั วมกับกรดอะซี บกรดอะซีติติก ็ ็ นผลิ คาร์บอนไดบอนได- ออกไซด์ และไฮโดรเจน
การใช้ ไพรูเวทแบบแอโรบิ เวทแบบแอโรบิก (aerobic) วิถีถท่ที ีส่สาคั า คัญมากท่ ญมากท่สุสี ดส ดุ สาหรั าหรับปฏิ บปฏิกิกริริ ิยาออกซิ ยาออกซิเดชั เดชันของสารเริ นของสารเริ ่มต้ มต้นอย นอยางสมบู างสมบูรณ์ รณ์ ภายใ ภายใต้ต้ภาวะแอ ภาวะแอ ี โร โร- บิค คือ วัฎจั ฎจักรเครปส์ กรเครปส์ (Krebs) หรื อเรี อเรียกว ยกวา TCA (tricarboxylic acid) ในวัฎจั ฎจักรน กรน ไพรูเวทถู เวทถูก ออกซิ ไดซ ไดซ์์ และโ และโครง ครงรางคาร์ ร บอนชนิ บอนชนิดตาง (Carbon skeleton) จะถูกสร้ กสร้างขึ างขึ นส นสาหรั าหรับใช้ บใช้ ใน กระบวนการชีวสั วสังเคราะห์ งเคราะห์และอิ และอิเลคตรอนจากไพรู เลคตรอนจากไพรูเวทจะถู เวทจะถูกส กสงไปยั งไปยังลู งลูกโซ กโซขนส ขนสงอิ งอิเลคต เ ลคตรอ รอนน ดั งภาพท่ งภาพท่ี 10 และถูกใช้ กใช้ ในการสร้างพลั างพลังงานในรู งงานในรูปของ ATP วั ฎจักรน กรนที าาให้ ให้เกิ เกิดกรดและคาร์ ดกรดและคาร์บอนไดออกไซด์ บอนไดออกไซด์ การใช้คาร์ คาร์ โบไฮเดรตและการหมักน้ กน้ ตาลแลคโตส ความสามารถของแบคทีเรี เรียในการใช้ ยในการใช้น้น ตาลชนิ ้ ดต ดตางๆ สาหรั าหรับการเจริ บการเจริญเป ญเป นสวนหนึ วนหนึ ่งในการ งในการ ็ ็ นส ื ตรวจเอกลักษณ์ กษณ์ของเช ของเชอ การหมักน้ กน้ ตาลท่ีเกิ เกิดขึ ด ขึนจะตรวจได้จากกรดท่ จากกรดท่สร้ สี ร้างขึ างขึ นและการเปล่ นและการเปล่ยนสี ยี นสีท่ทเกิ ี่เกิด จากอินดิ นดิเคเตอร์(pH (pH indicator) ท่ผสมในอาหาร ีผสมในอาหาร
23
a)
b)
ภาพท่ี 10 แสดงวัฏจั ฏจักรเครป(a) กรเครป(a) และระบบขนสงอิ งอิเลคตรอนท่พลาสมาเมมเบรน(b) พี ลาสมาเมมเบรน(b) (ท่มา: มี า: http://www.bact.wisc.edu/Bact30 http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303meta 3/bact303metabolism) bolism) 24
โดยท่ัวไปแล้ วไปแล้วแบคที วแบคทีเรี เรียจะเลื ยจะเลือกหมั อกหมักน้ตาลกูลโคสก ลโคสกอนน้ อนน้ ตาลชนิดอน่ื ๆ ดั งนันถ้าต้ าต้องการ องการ ทดสอบความสามารถในการหมักน้ กน้ ตาลชนิดอ่ ดอ่ืนต้องไม องไมมีมีกูกลโคสอยู ลู โคสอยู ในอาหารทดสอบ ัขนตอนสาคั าคัญในการจั ญในการจัดจ ดจาแนกสมาชิ าแนกสมาชิกในกลุ ม Enterobacteriaceae คือการหาความ อการหาความ ี สามารถของจุลิลนทรี นิ ทรีย์ย ในการหมั ์ กแลคโตส กแลคโตส จึงแบ งแบงแบคที งแบคทีเรี เรียในสกุ ยในสกุลน ลนเป นพวก lactose fermenter ็ ็ นพวก และ lactose non-fermenter โดยแลคโตสเป ็ ็ น disaccharide ท่ประกอบด้ ีประกอบด้วยกู วยกูลโคส ลโคส 1 โมเลกุลจั ลจับ กับ galactose 1 โมเลกุ ลด้ ลด้วยพั วยพันธะ นธะ galactoside bond ในกระบวนการใช้แลคโตสมี แลคโตสมี 2 ขันตอนคือ 1. อาศั ยเอนไซม์ เบตา-กาแลคโตไซด์ เพอร์มีมีเอส เอส (beta-galactoside permease) ใน การขนสงน้ งน้ ตาลแลคโตสข้ามผนั ามผนังเซลล์ งเซลล์เข้ เข้าสู ไซโตปลาสม ั 2. เ ็ ป ็ นข นขนตอนท่เกิ เี กิดภายในเซล ดภายในเซลล์ล์ โดยอาศั โดยอาศัยเอน ยเอนไซ ไซม์ม์ b-ga b-gala lact ctos osid idas asee ในกา ในการส รสลา ลายย พันธะ นธะ galactoside galactoside bond ปลอยกู อยกูลโคสจากโมเลกุ ลโคสจากโมเลกุลของแลคโตสเข้ ลของแลคโตสเข้าสู าสู การหมั การหมัก ดัง ันนจุลิลนิ ทรีย์ย ใดก็ ์ ตามท่ ตามท่สามารถหมั สี ามารถหมักน้ กน้ ตาลแลตโตสได้ จะสามารถหมักกู กกูลโคสได้ ลโคสได้ด้ดวย ว้ ย
จุลิลนทรี น ิ ทรีย์ย์ที ทีอ่ าศัยตามปกติ ยตามปกติในรางกายของคน(normal างกายของคน(normal flora) ื ือหรื บริเวณของเน เวณของเนอเย่ อหรืออวั ออวัยวะภายใน ยวะภายใน เชน สมอง ปอด ตับ ไต และกระแสเลือด อด จะปราศจาก ื เชอ ไมมีมจุีจลิลุ นทรี นิ ทรีย์ย์อาศั อาศัยอยู ยอยู แตบริเวณของร เวณของรางกายของคนและสั างกายของคนและสัตว์ ตว์ ในสวนท่ วนท่มีมี โอกาสสั ี มผั มผัสกั สกับสิ บสิ ่ง แวดล้อม อม เชนผิ นผิวหนั วหนัง เย่อเมื อื เมือกปกคลุ อกปกคลุมทางเดิ มทางเดินหายใจ นหายใจ ทางเดินปั นปัสสาวะ หรือทางเดิ อทางเดินอาหาร นอาหาร มักจะมี กจะมี จุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์อาศั อาศัยอยู ยอยู ชนิดของจุลิลนทรี นิ ทรีย์ย ขึข์ ึนอยู กักับหลายปั บหลายปัจจัย เชน พันธุ นธุกรรม กรรม อายุ เพศ ภาวะโภชนาการ ื ี ั ความเครียดของแต ยดของแตละคน ละคน กลุ มจุ มจุลิลนิ ทรีย์ยท่ท์ ีอาศั ่อาศัยน ยนมีททง เชอรา โปรโตซัว ด้วยมี วยมี ในจานวนน้ านวนน้อย อย จุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์ ท่ีอาศั อาศัยส ยสวนใหญ วนใหญ เป ็ ็ น แบคทีเรี เรีย แบคทีเรี เรียท่ ยท่อาศั อี าศัยในแต ยในแตละบริ ละบริเวณส เวณสาคั าคัญของร ญของรางกาย างกาย 1. ที ่ ผิวหนั วหนัง สวนใหญ วนใหญเป เ ็ ป ็ นพวก นพวก Micrococci คือ Staphylococcus epidermidis , Micrococcus spp. และ corynebacterium 2. ที ่ ทางเดินหายใจ นหายใจ ในชองจมู องจมูกมี กมีแบคที แบคทีเรี เรียจ ยจานวนมาก านวนมาก ท่สสี าคั า คัญ คือ Staphylococcus epidermidis ,และ corynebacterium สวน วน Staphylococcus aureus พบได้บบอย อ ย ประมาณ 20% สวนของทางเดิ วนของทางเดินหายใจตอนต้ นหายใจตอนต้นจะมี นจะมี non-hemolytic streptococci ั และ alpha-hemolytic streptococci และ neiserria n eiserria บางครงอาจพบ S. pneumoniae, H. influenzae และ N. meningitidis 3. ในชองปากจะมี องปากจะมีแบคที แบคทีเรี เรียพวก ยพวก streptococci, lactobacilli, staphylococci, corynebacterium และแอนแอโรบส์ จานวนมากโดยเฉพาะ านวนมากโดยเฉพาะ bacteroides 4. ที ่ เย่อบุ อื บุตา ตา มีจจานวนน้ า นวนน้อย ท่พบได้ พี บได้ คือ S. epidermidis, Propionibacterium acnes, สวน วน S. aureus, streptococci, Haemophilus spp, และ Neiserria spp. พบได้เป เ ็ ป ็ น ั บางครง 5. ทางเดินปั นปั สสาวะ สสาวะ มี Staphylococcus epidermidis, Enterococcus faecalis, และ ี alpha-hemolytic streptococci นอกจากนอาจมี enteric bacteria เชน E. coli, ื Proteus spp. และ corynebacteria ปนเป ปนเปอนมาจากแหลงอ่ งอ่ืน 6. ทางเดินอาหาร นอาหาร จะพบ แบคทีเรี เรียในสกุ ยในสกุล Enterobacteriaceae เชน E. coli แต ไมพบ พบ ี Salmonella, Shigella, Yersinia, Vibrio และ Campyrobacter species นอกจากน ยังพบ งพบ enterococci, S. epidermidis, streptococci (alpha-hemolytic , nonhemolytic) แบคทีเรี เรียกลุ ยกลุ มแอนแอโรบส์ มแอนแอโรบส์พบมากหลายชนิ พบมากหลายชนิด
25
ื ประโยชน์ของเชอประจ าถิ าถิ ่น(normal flora) 1. สั งเคราะห์และปล และปลอยไวตามิ อยไวตามิน ตัวอย วอยาง าง เชน แบคทีเรี เรียในทางเดิ ยในทางเดินอาหารสร้ นอาหารสร้างและปล างและปลอย อย ไวตามิน K และ B12 ื อโรคเจริ 2. กั นไม ให้เช เชอก อโรคเจริญ ซึ ่งเป งเป นผลจากการท่แย แี ยงบริ งบริเวณจั เวณจับและสารอาหาร บและสารอาหาร ็ ็ นผลจากการท่ ื 3. เชอ normal flora จะต้านทานแบคที านทานแบคทีเรี เรียอ่ ยอ่นโดยการปล นื โดยการปลอยสารพิ อยสารพิษมาท ษมาทาลาย าลาย ื ือบางอยาง ื ือตอมน้ 4. กระต ุ้ นพั นพัฒนาการของเน ฒนาการของเนอเย่ าง เชน เนอเย่ อมน้เหลืองในทางเดิ องในทางเดินล นลาไส้ าไส้ ื 5. กระต ุ้ นการสร้ นการสร้างแอนติ างแอนติบอดี บอดีตตอ normal flora ซึ ่งมี งมีผลต ผลตอเช อเชอกอโรค อโรค (cross-reactive antibodies)
ื เ่กิดข ึ การติดเช ดเชอที ดขนในโรงพยาบาลหรื อสถานพยาบาล (Nosocomial infection) อสถานพยาบาล การสารวจของศู ารวจของศูนย์ นย์ควบคุ ควบคุมและป้ มและป้องกันโรค นโรค ประเทศสหรัฐอเมริ ฐอเมริกา กา ประมาณวาผู าผู ้ปปว ยในโรง ื ื ั พยาบาลทงหมดจะติดเช ดเชอท่ ได้ ี รัรับจากในโรงพยาบาลประมาณ บจากในโรงพยาบาลประมาณ 5-10 % โรคติดเช ดเชอท่ ได้ ี มาในขณะรั มาในขณะรับ ื ื ดท่ ไม ื พบ การรักษาในโรงพยาบาลมั กษาในโรงพยาบาลมักเกิ กเกิดจากเช ดจากเชอแบคที เรี เรีย สวนมากเป วนมากเป นเชอชนิ ี ลุลกลามและเป กุ ลามและเป นเชอท่ พี บ ็ ็ นเช ็ ็ นเช ื อยู แล้ แล้วตามปกติ วตามปกติตามร ตามรางกาย างกาย บริเวณการติ เวณการติดเช ดเชอท่พบบ พี บบอยมากคื อยมากคือทางเดิ อทางเดินปั นปั สสาวะ สสาวะ รองลงมาเป ็ ็ นทาง นทาง ื ื เดินหายใจและบริ นหายใจและบริเวณผ เวณผาตั าตัด ไวรัส โปรโตซัวและเช วและเชอราจะพบน้อยมาก อยมาก อยางไรก็ างไรก็ตามพบเช ตามพบเชอราเป ็ ็ น ื สาเหตุบบอยขึ อ ยขึ นในผู นในผู ้ปปว ยภูมิมคุคิ ้มกั ุมกันบกพรองจากการติ องจากการติดเช ดเชอไวรัสเอชไอวี สเอชไอวีหรื หรือรั อรับยากดภู บยากดภูมิมต้ติ านทาน ้านทาน ซึ ่งเม่ งเม่อื ื ติดเช ดเชอราแล้วมั วมักเป็ กเป็นรุนแรง นแรง ลุกลามเร็ กลามเร็ว และยากท่ีจะวิ จะวินินจิ ฉัยและรั ยและรักษา กษา ื การติดเช ดเชอแบคที เรี เรียในเลื ยในเลือดขณะอยู อดขณะอยู ในโรงพยาบาล แบงเป งเป ็ ็ น 2 ประเภท คือปฐมภู อปฐมภูมิมิ และทุติติย ื ภูมิมิ ประเภทแรกเป ็ ็ นผลจากเช นผลจากเชอเข้าสู รรางกายโดยตรงจากอุ างกายโดยตรงจากอุบติตั ิเหตุ เหตุ เชนในการหยดสารน้ นในการหยดสารน้ เข้าหลอด าหลอด เลือด อด อุปกรณ์ ปกรณ์ทางเดิ ทางเดินหายใจ นหายใจ สายสวน กล้องส องสองภายใน หนวยล้ วยล้างไต างไต หรือสารอาหารเข้ อสารอาหารเข้าเส้ าเส้นเลือด อด ื ชนิดท่ ดท่สองหรื สี องหรือทุ อทุติติยภู ยภูมิมิ เกิดจากการติ ดจากการติดเช ดเชอจากบริเวณอ่ เวณอ่นของร นื ของรางกาย างกาย เชนทางเดิ นทางเดินปัปั สสาวะ สสาวะ ทางเดิน ื ื หายใจ หรือแผลผ อแผลผาตั าตัด เชอท่พบเป พี บเป นสาเหตุมากท่ มากท่สุสี ดส ดุ สาหรั าหรับการติ บการติดเช ดเชอแบคทีเรี เรียในเลื ยในเลือด อด คือ ็ ็ นสาเหตุ coagulase-negative staphylococcus, Staphylococcus aureus, และ Escherichia coli การ ื ติดเช ดเชอประเภทน มัี กเกิ กเกิดกั ดกับเด็ บเด็กออนหรือคนสู อคนสูงอายุเน่ เน่ืองจากกลไกของภูมิมิคุค ้มกั ุมกันตามธรรมชาติ นตามธรรมชาติลดลง ลดลง ี นอกจากนอาจแบงตามแหล งตามแหลงท่ งท่มาเป มี าเป คคลอ่นื (cross-infection) ็ ็ น จากภายนอกซึ ่งอาจจากบุคคลอ่ ื หรืออาจมาจากการปนเป ออาจมาจากการปนเปอนสิ ่ อนสิ ่งของหรื งของหรือเคร่ อเคร่องมื อื งมือ(environmental อ(environmental infection) และจากแหลงภายใน งภายใน เชนจากต นจากตาแหน าแหนงอ่ งอ่นของร นื ของรางกายผู างกายผู ้ปวยเอง วยเอง (self-infection) ื ลิลนทรี ื เชอจุ นิ ทรีย์ย์ท่ทพบบ พี่ บบอยในการติ อยในการติดเช ดเชอในโรงพยาบาล แสดงในตารางท่ี 5 ื ลิลนทรี ื ตารางท่ี 5 เชอจุ นิ ทรีย์ย์ท่ทพบบ พี่ บบอยในการติ อยในการติดเช ดเชอในสถานบริ การ การ ื การติดเช ดเชอทางเดิ นปัสสาวะ
Escherichia coli Klebsiella, Serratia, Proteus spp. Pseudomonas Pseudomonas aeruginosa Enterococcus spp. Candida albicans
ื การติดเช ดเชอทางเดิ นหายใจ นหายใจ
Haemophilus influenzae Streptococcus pneumoniae Staphylococcus aureus
26
Enterobacteriaceae Respiratory viruses
Fungi (Candida spp., Aspergilli ) ื การติดเช ดเชอบาดแผลและผิ วหนั วหนัง
Staphylococcus aureus Streptococcus pyogenes Escherichia coli Proteus spp.
Anaerobes Enterococcus spp.
Coagulase-negative staphylococci ื การติดเช ดเชอทางเดิ นอาหารและล นอาหารและลาไส้ าไส้
Salmonella serotypes Clostridium difficile
Viruses (Norwalk-like) (ท่มา มี า Slack, RCB, 2006) ื ื อถู การติดเช ดเชอแผลไหม้ เน่ เน่ องจากเน อื งจากเนอเย่ อื ถูกท กทาลายจาก าลายจาก ความร้อน อน สารเคมี รังสี งสีหรื หรือไฟฟ้ อไฟฟ้า ทาให้ าให้ ื ื ื ไมสามารถป้ สามารถป้องกันเช นเชอจุลิลนทรี นิ ทรีย์ย ได้ ์ อย อยางมี างมีประสิ ประสิทธิ ทธิภาพ ภาพ เชอจึงสามารถท่ งสามารถท่จะเจริ จี ะเจริญเพิ ญเพิ ่มจ มจานวนในเน านวนในเนอเย่ือ ื ดังกล งกลาว าว เชอท่ผูผี ้ปปู ว ยแผลไหม้มัมักจะได้ กจะได้รัรับขณะรั บขณะรักษาในโรงพยาบาล กษาในโรงพยาบาล เชน Pseudomonas aeruginosa, Staphylococcus aureus, และแบคทีเรี เรียรู ยรูปแท ปแทงแกรมลบอ่ งแกรมลบอ่ืนๆ ื การติดเช ดเชอทางเดิ นหายใจในระหวางรั างรับการรั บการรักษา กษา มักเป กเป ็ ็ นปอดบวม นปอดบวม (pneumonia) มักเกิ กเกิด ื จากการใช้เคร่ เคร่องมื ืองมือเก่ อเก่ยวกั ยี วกับการหายใจท่ บการหายใจท่ชชี วยในการหายใจหรื ว ยในการหายใจหรือในการให้ อในการให้ยา ยา สาหรั าหรับเช บเชอท่มัมี ักเป กเป ็ ็ น สาเหตุ คือ S. aureus, Ps. aeruginosa และ Enterobacter spp. ื ื งถ้ การติดเช ดเชอในโรงพยาบาลในบริ เวณผ เวณผาตั าตัด การติดเช ดเชอสู งถ้าเป าเป นการผาตั าตัดบริ ดบริเวณทางเดิ เวณทางเดิน ็ ็ นการผ ื อาหาร ทางเดินหายใจ นหายใจ ทางเดินปั นปัสสาวะ เน่ เน่ องจากเป ืองจากเป นบริเวณท่ เวณท่มีมี ีเช เชออาศัยอยู ยอยู มาก มาก แบคทีเรี เรียท่ ยท่มัมี ักพบท่ กพบท่ี ็ ็ นบริ แผลผาตั าตัด คือ S. aureus, coagulase-negative staphylococcus, และ Enterococcus spp. ื ื รัรับมาจากโรงพยาบาลท่ การติดเช ดเชอทางเดิ นปัสสาวะเป นการติดเช ดเชอได้ บมาจากโรงพยาบาลท่พบบ พี บบอยท่ อยท่ีสุสดุ มักเก่ กเก่ยว ยี ว ็ ็ นการติ ื กับการใช้ บการใช้สายสวนปั สายสวนปั สสาวะ สสาวะ เช เ ชอท่มัมี ักเป กเป นสาเหตุ คือ E. coli, Enterococcus spp.,และ Ps. ็ ็ นสาเหตุ aeruginosa
ื ผิผี วหนั ื มัมี ักเป็ การติดเช ดเชอท่ วิ หนังซึ งซึ ่งมั งมักพบน้ กพบน้อย อย เชอท่ กเป็นสาเหตุ คือ S. aureus, coagulasenegative staphylococcus, Ps. aeruginosa และ E. coli
27
บรรณานุกรม กรม 1. Joshua Joshua Lederb Lederberg. erg. (2000) (2000) Infectious Infectious History. History. Science, Vol. 288, 287-293. 2. Greenwood Greenwood,, D., Slack, Slack, RCB, RCB, and Peuthe Peutherer, rer, J.F.(eds J.F.(eds.).) (1997) (1997) Medical Microbiology; A Guide to Microbial Infection: Pathogenesis, Immunity, Laboratory Diagnosis and Control. 15th edition, Churchill Livingstone. 3. Greenwood Greenwood,, D. (2006) (2006) Micro Microbiolo biology gy and and medicine medicine.. In Greenwood, D., Slack, RCB, and Peutherer, J.F.(eds.) (2006) Medical Microbiology; A Guide to Microbial Infection: Pathogenesis, Immunity, Laboratory Diagnosis and Control. 16th edition, Churchill Livingstone. pp 2-8. 4. Mahon, Mahon, CR. and Manuselis, Manuselis, G. (eds.) (eds.) (2000) (2000) Textbook Textbook of Diagnost Diagnostic ic Microbiolog Microbiology. y. 2nd edition, W.B. Saunders company. 5. Prescott Prescott,, L.M., Harley, Harley, J.P. J.P. and Klein Klein,, D.A. (1999) (1999) Microbiology. 4th edition, McGraw-Hill, Inc. 6. Slack, Slack, RCB. RCB. (2006 (2006)) Hospita Hospitall infecti infection. on. In Greenwood, D., Slack, RCB, and Peutherer, J.F.(eds.) (2006) Medical Microbiology; A Guide to Microbial Infection: Pathogenesis, Immunity, Laboratory Diagnosis and Control. 16th edition, Churchill Livingstone. pp 662-669. 7. Scott K. K. Fridkin Fridkin and William William R. Jarvis. Jarvis. Epidemi Epidemiology ology of of Nosocomia Nosocomiall Fungal Infections., Clinical Microbiology Reviews, 1996, Vol. 9 No. 4, p.499-511 8. Weber, Weber, DJ and Rutala Rutala,, WA. 2001 2001 The Emerging Emerging Nosoco Nosocomial mial Pathoge Pathogens ns Crytosporidium, Crytosporidium, Escherichia coli O157:H7, Helicobacter pyroli, and Hepatitis C: Epidemiology, Environmental Survival, Efficacy of Disinfection, and Control Measures. Infection Control and Hospital Epidemiology. Vol. 22, No. 5, pp. 306-315 9. The Diversity Diversity of Metaboli Metabolism sm in Procaryot Procaryotes es (http://www.bact.wisc.edu/Bact303/bact303metabolism) 10. The Bacterial Normal Normal Flora of Humans Humans (http://www.bact.wisc.edu/Bact303/Bact303normalflora)
28
คาาถามส ถามสาหรั าหรับทบทวนบทที บทบทวนบทที่ 1 1. ใครคือบุคคลแรกท่ คคลแรกท่เสนอว เี สนอวา สิ ่งมี งมีชีชวิวี ิตขนาดเล็ ตขนาดเล็กท่มองไม มี องไมเห็ เห็นด้ นด้วยตาเปล วยตาเปลาก ากอให้ อให้เกิ เกิดโรค ดโรค และติดต ดตอ ื ผานการสั านการสัมผั มผัส เสอผ้า สิ ่งของหรื งของหรือผ อผานตั านตัวกลางในอากาศ วกลางในอากาศ 2. ผนั งเซลล์ของแบคที ของแบคทีเรี เรียแกรมบวกและลบต ยแกรมบวกและลบตางกั างกันอย นอยางไร างไร ื 3. อะไรที ่ เป นสาเหตุของการเกิ ของการเกิดไข้ ดไข้ หรือช็ อช็อคในผู อคในผู ้ปปว ยติดเช ดเชอแบคที เรี เรียแกรมลบ ยแกรมลบ ็ ็ นสาเหตุ ี 4. กรดใดตอไปน อไปนเป นสวนประกอบส วนประกอบสาคั าคัญ ท่พบเฉพาะในแบคที ีพบเฉพาะในแบคทีเรี เรียแกรมบวก ยแกรมบวก ็ ็ นส 5. หน้าท่ของพิ ีของพิ ไลแตกตางจากแฟลกเจลลาอย างจากแฟลกเจลลาอยางไร างไร ี ยกว 6. Pseudomonas spp. มีแฟลกเจลลาท่ แฟลกเจลลาท่ปลายเซลล์ ปี ลายเซลล์หนึ หนึ ่งอั งอัน แฟลกเจลลาชนิดน ดนเรี ยกวา (monotrichous, amphitrichous, lophotrichous หรือ peritrichous) 7. เอนไซม์สสวนใหญ ว นใหญของแบคที ของแบคทีเรี เรียจะพบท่ ยจะพบท่ โครงสร้ ี างใด างใด ื 8. แคปซูลจะมี ลจะมีบทบาทในการก บทบาทในการกอโรคติ อโรคติดเช ดเชอของแบคทีเรี เรียอย ยอยางไร างไร 9. สวนใดของโครงสร้ วนใดของโครงสร้างของแบคที างของแบคทีเรี เรียท่ ยท่ี นาจะป้ าจะป้องกันการชะล้ นการชะล้างสี างสีด้ดวยแอลกอฮอล์ ้วยแอลกอฮอล์ ในขันตอนการ ย้อมสี อมสีแบคที แบคทีเรี เรียท่ ยท่นินี สิสิ ตทดลองในห้ ติ ทดลองในห้องปฏิ องปฏิบับัติติการ การ 10.ทาไมแบคที าไมแบคทีเรี เรียท่ ยท่มีมี อายุ ีอายุนานจะถูกชะสี กชะสี ได้งงายกว า ยกวาแบคที าแบคทีเรี เรียท่ ยท่มีมี อายุ ีอายุน้นอ้ ย 11. โครงสร้ โครงสร้างใดท่ างใดท่ทที าาให้ ให้แบคที แบคทีเรี เรียคงรู ยคงรูปร ปรางเป างเป นรูปทรงต ปทรงตางๆได้ างๆได้ ็ ็ นรู ี 12.แบคที เรี เรียกลุ ยกลุ มใดต มใดตออไปน ไปนมีรูรูปร ปรางกลม างกลม (Bacillus sp.,Staphylococcus sp.,Vibrio sp., Fusobacterium sp.) 13.ทาไมจุ าไมจุลิลนทรี นิ ทรีย์ย์ท่ทสร้ สี่ ร้างสปอร์ างสปอร์จึจงทนทานมากกว งึ ทนทานมากกวาจุ าจุลิลนทรี นิ ทรีย์ยท่ท์ ไม ี่ สร้ สร้างสปอร์ างสปอร์ 14.อวัยวะใดท่ ยวะใดท่แบคที แี บคทีเรี เรียใช้ ยใช้ ในการถายทอดสารพั ายทอดสารพันธุ นธุกรรมจากแบคที กรรมจากแบคทีเรี เรียหนึ ยหนึ ่งไปยั งไปยังอี งอีกแบคที กแบคทีเรี เรียหนึ ยหนึ ่ง ี 15.ยกตั วอย วอยางอาหารเพาะเล างอาหารเพาะเลยงแบคทีเรี เรีย ชนิด selective media 16. selective selective media media มีสมบั สมบัติติหรื หรือน อนามาใช้ ามาใช้ประโยชน์ ประโยชน์อยางไร างไร 17.ยกตั วอย วอยางช่ างช่ืออาหารเพาะสาหรั าหรับแบคที บแบคทีเรี เรียท่ ยท่อาจใช้ อี าจใช้ ได้ททังเป ็ ็ น enriched medium หรือ differential medium 18.การหมักและกระบวนการหายใจในแบคที กและกระบวนการหายใจในแบคทีเรี เรีย แตกตางกั างกันอย นอยางไร างไร 19.จงบอกวิถีถชี วเคมี วี เคมีท่ทีส่สาคั า คัญของแบคที ญของแบคทีเรี เรียในการสลายกู ยในการสลายกูลโคสไปเป ลโคสไปเป นไพรูเวทเพ่ เวทเพ่อสร้ อื สร้างพลั างพลังงาน งงาน ็ ็ นไพรู 20. จงบอกผลิ จงบอกผลิตผลส ตผลสาคั าคัญจากการหมั ญจากการหมักไพรู กไพรูเวทท่ เวทท่เกิ เี กิดใน ดใน Lactobacillus spp., Propionibacter spp. และ Klebsiella spp. 21.แบคที เรี เรียชนิ ยชนิด obligate aerobes มีลัลักษณะอย กษณะอยางไร างไร ื ังหมด 22. nosocomial infection มีประมาณร้ ประมาณร้อยละเท อยละเทาไร าไร ของโรคติดเช ดเชอท ื 23.การติดเช ดเชอแบคที เรี เรียในเลื ยในเลือดมี อดมี 2 ชนิด คืออะไร ออะไร ยกตัวอย วอยางแบคที างแบคทีเรี เรียท่ ยท่พบเป พี บเป นสาเหตุการติ การติดเช ดเชอื ็ ็ นสาเหตุ ื 24.แบคที เรี เรียท่ ยท่มัมี ักเป กเป นสาเหตุของการติ ของการติดเช ดเชอแผลไหม้ คืออะไร ออะไร ็ ็ นสาเหตุ 25.อะไรท่ีมัมักเป กเป นสาเหตุททาาให้ ให้เกิ เกิด nosocomial pneumonia มากท่ีสุสดุ ็ ็ นสาเหตุ ื 26.ทาไมการติ าไมการติดเช ดเชอ nosocomial infection ท่ีแผลผ แผลผาตั าตัดบริ ดบริเวณทางเดิ เวณทางเดินอาหารจึ นอาหารจึงพบได้บบอย อย 27.อะไรท่ีมัมักเป กเป ็ ็ นสาเหตุ นสาเหตุของ ของ nosocomial infection ทางเดินปั นปัสสาวะในโรงพยาบาล ื 28.เชอแบคที เรี เรียประจ ยประจาถิ าถิ ่น (normal flora) ท่ีพบมากท่ พบมากท่สุสี ดท่ ดุ ท่ผิผี ิวหนั วหนัง คืออะไร ออะไร ื ี 29.เชอใดตอไปน อไปนท่ีมีมรายงานว ีรายงานวาท าทาาให้ ให้เกิ เกิด nosocomial infection ระหวางผู างผู ้ปปว ยท่ ใช้ ี endoscope (Helicobacter pyroli, Hepatitis C virus, Cryptosporidium Cryptosporidium spp., E. coli O157H7) 30. Normal Normal flora มีประโยชน์ ประโยชน์ตตอมนุ อมนุษย์หรื หรือไม อไม อยางไร างไร
29