Techno
logy
วิธแี ก้ปญ ั หาตะกอนเบาไม่จมตัว ในระบบ
Activated Sludge ผศ.พนาลี ชีวกิดาการ
คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
การแก้ไขปัญหาแบคทีเรียสายใยที่ก่อให้เกิดปัญหาตะกอนเบาไม่จมตัว (bulking sludge problem) แต่ละชนิด จะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดปัญหา วิธีการแก้ไข ปัญหาโดยทั่วไป ควรเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบระบบบำบัด และรายละเอียดสภาวะการเดินระบบ อย่างเหมาะสม (ป้องกันปัญหาก่อนที่จะต้องแก้ไข) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจวัดและปรับสภาพน้ำ เสียที่ไหลเข้าสู่ระบบบำบัดให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม การควบคุมปริมาณออกซิเจนของน้ำเสียในบ่อ เติมอากาศ การควบคุมอัตราส่วนระหว่างสารอินทรีย์และปริมาณจุลินทรีย์ การควบคุมอายุตะกอน ฯลฯ แต่หากปัญหาตะกอนเบาไม่จมตัวเกิดขึ้นแล้ว จะมีวิธีในการแก้ไขปัญหาแตกต่างกันไป โดย มักเริ่มจากการพิสูจน์ให้ทราบถึงชนิดของแบคทีเรียสายใยในระบบที่เป็นตัวหลักอันก่อให้เกิดปัญหา ตะกอนเบาไม่จมตัว และจากชนิดของแบคทีเรียสายใยที่พบ จะทำให้ทราบถึงสาเหตุของการเกิด ปัญหาตะกอนเบาไม่จมตัว เช่น อาจเกิดจากการขาดออกซิเจน หรือ การขาดสารอาหาร หรือ อายุ ตะกอนนานเกินไป สำหรั บ วิ ธี ก ารแก้ ไ ขปั ญ หาตะกอนเบาไม่ จ มตั ว ในบทความนี้ (ส่ ว นใหญ่ เ รี ย บเรี ย งจาก Jenkins et al., 1993 และ ATV working group 2.6.1, 1989) จะแบ่งออกเป็นสามส่วน ตามวิธีการ ในการบำบัด คือ วิธีการทางกายภาพ ทางเคมี และ ทางชีวภาพ
>>> 064
August-September 2010, Vol.37 No.212
Energy & Environment Techno
logy
4. เติ ม เครื่ อ งเติ ม อากาศ หรื อ ระบบควบคุ ม การเติ ม อากาศให้ เ หมาะสม Casey et al. (1994) ระบุว่า ปัญหาแบคทีเรีย สายใยกลุ่มที่มีค่า F/M ratio ต่ำ มักพบเมื่อมี การเปลี่ ย นสภาวะ Anoxic/Oxic อยู่ ต ลอด เวลา ทำให้แบคทีเรียกลุ่มเฮทเทอโรโทฟิคต้อง สลั บ ตั ว รั บ อิ เ ล็ ก ตรอนระหว่ า งออกซิ เ จนกั บ
ไนเตรตอยู่เสมอ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การ ที่มีค่าออกซิเจนละลายไม่สม่ำเสมอ จะทำให้ เกิ ด ปั ญ หาตะกอนเบาไม่ จ มตั ว โดยทั่ ว ไป วิศวกรผู้ออกแบบระบบมักแนะนำให้ควบคุม ค่าออกซิเจนละลายที่มากกว่า 2.0 มิลลิกรัม/ ลิตร เพื่อป้องกันปัญหาตะกอนเบาไม่จมตัว
ิ
>>
>>
วิธกี ารแก้ไขปัญหาทางกายภาพ
1. ใช้ Ultrasonic Technique ซึ่งจะ ทำให้ ค วามยาวของแบคที เ รี ย สายใยลดลง จากการศึกษาการใช้ Ultrasonic ในการบำบัด ของเสียจากระบบแอกติเวเต็ดสลัดจ์ของ Chu et al. (2001) พบว่า การใช้ Ultrasonic สามารถ บำบัดของเสียได้ โดยมีผลต่อโครงสร้างของ
ฟล็ อ ก ทำให้ ฟ ล็ อ กแตกและมี ข นาดเล็ ก ลง นอกจากนี้ การใช้ Ultrasonic ทำให้ของเสียมี อุณหภูมิสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือ อนุภาคสารอินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำกลายเป็น สารที่ ล ะลายน้ ำ ได้ สารอิ น ทรี ย์ ก ลุ่ ม ที่ ย่ อ ย สลายได้ ย ากจะเปลี่ ย นรู ป เป็ น สารอิ น ทรี ย์ ที่ ย่อยสลายได้ง่ายขึ้น 2. เปลี่ยนลักษณะการไหลเข้าของ น้ำเสีย เนื่องจากแบคทีเรียสายใยพบได้ทั่วไป ในระบบที่มีการไหลแบบกวนสมบูรณ์ (completely-mixed) การเปลี่ยนลักษณะการไหล ของน้ำเสีย เช่น การไหลแบบ Step Feed และ การไหลแบบทางเดียว (plug-flow) (ดูภาพ ประกอบที่ 1) สามารถป้องกันการเกิดปัญหา ตะกอนเบาไม่จมตัวได้ (Michael, 2003)
Q
Q
Q
Q
▲ ภาพประกอบที่ 1 ลักษณะการไหลเข้าของน้ำเสีย
3. เปลี่ ย นเครื่ อ งสู บ ตะกอนที่ สู บ จากถังตกตะกอนกลับมาเข้าถังเติมอากาศ จะ ต้องสามารถปรับปริมาณการไหลให้มากหรือ น้อยได้ ซึ่งต้องเป็นแบบ Positive Displacement Pump เช่น Screw Pump
วิธกี ารแก้ไขปัญหาทางเคมี
1. การใช้ ส ารเคมี ช่ ว ยในการตก ตะกอน เป็ น วิ ธี ก ารที่ ร วดเร็ ว โดยไม่ ท ำลาย โครงสร้างของแบคทีเรียสายใย หรือทำลายโดย สิ้นเชิง เช่น การใช้ Synthesis Polymer เพื่อช่วย ในการตกตะกอน ซึ่งมีหลายชนิด และหลาก หลายสภาวะการใช้งาน ทั้งแบบ Cationic และ Anionic Polymer สิ่งสำคัญ คือ การใช้ Polymer เหล่านี้ คือ การทำ Jar Test เพื่อทดลองหาความเข้มข้น ที่เหมาะสมที่สุดต่อการตกตะกอนอย่างรวดเร็ว (ดูภาพประกอบที่ 2) เช่นเดียวกันกับการบำบัด น้ำประปา การใช้ Polymer ที่ระดับ Overdose จะทำให้เกิดปัญหามากขึ้นไปกว่าเดิม
▲ ภาพประกอบที่ 2 การทำ Jar Test เพื่อหาความเข้มข้นของ Polymer ที่เหมาะสมสำหรับการตกตะกอน
August-September 2010, Vol.37 No.212
065 <<<
Techno Energy & Environment logy
สารเคมีกลุ่ม Inorganic Coagulant เช่น Ferric Chloride หรือ Alum (สารส้ม) เป็ น อี ก กลุ่ ม หนึ่ ง ที่ ส ามารถลดค่ า SVI ได้ ดี Finger (1973) ทดลองใช้ Alum ที่ความเข้ม ข้น 60 มิลลิกรัม/ลิตร เป็นเวลา 3 วัน สามารถ ลดค่า SVI จาก 130 มิลลิลิตร/กรัม เหลือ 90 มิ ล ลิ ลิ ต ร/กรั ม โดยประสิ ท ธิ ภ าพนี้ ยื ด เป็ น ระยะเวลาถึง 3 อาทิตย์ 2. การใช้คลอรีนในการฆ่าเชื้อโรค เพื่อกำจัดแบคทีเรียสายใย แบคทีเรียสายใย จะมีพื้นที่ผิวรอบตัวสูงกว่าแบคทีเรียชนิดจับ ตัวเป็นกลุ่ม จึงรับสารพิษได้มากกว่าและตาย ก่อน การแก้ไขปัญหาจึงเห็นผลอย่างรวดเร็ว แต่การใช้คลอรีนเป็นการแก้ไขปัญหาชั่วคราว โดยเป้าหมายของการใช้คลอรีน คือ การกำจัด สายใยของแบคทีเรียสายใยที่ยื่นออกมาจาก ผิ ว ฟล็ อ ก โดยคลอรี น ที่ มี ค วามเข้ ม ข้ น สู ง จะ ทำให้ ส ายใยที่ ผิ ว ฟล็ อ กตาย แต่ แ บคที เ รี ย สายใยบางส่วนที่อยู่ในฟล็อกจะยังไม่ตาย การ ใช้คลอรีนมากเกินไปจะทำให้น้ำทิ้งมีปริมาณ สารแขวนลอยเพิ่มขึ้น และทำให้ประสิทธิภาพ การกำจัดบีโอดีลดลงด้วย นอกจากนี้ คลอรีน ยังทำให้เกิด By-Product เช่น Trihalomethane อีกด้วย 3. การใช้ Hydrogen Peroxide สำหรับการควบคุมตะกอนเบาไม่จมตัว H2O2 เป็ น สารเคมี อี ก ชนิ ด หนึ่ ง ที่ นิ ย มใช้ ใ นการ ควบคุมแบคทีเรียสายใย โดยที่ต้องอาศัยการ ผสมอย่างรวดเร็ว (rapid mixing) ไม่เพียงแต่ การบำบัดด้วยสารเคมีของ H2O2 เท่านั้น แต่ ปฏิกิริยา Oxidation/Reduction ที่เกิดขึ้นใน ระบบ จะสร้ า งออกซิ เ จนเพิ่ ม ขึ้ น ทำให้ ค่ า ออกซิเจนละลายในบ่อเติมอากาศเพิ่มขึ้น เป็น ผลให้ แ บคที เ รี ย สายใยกลุ่ ม ที่ พ บเมื่ อ มี ค่ า ออกซิเจนละลายต่ำหายไปจากระบบในที่สุด 4. ควบคุ ม ลั ก ษณะน้ ำ เสี ย ที่ เ ข้ า สู่ ระบบ เช่น ลดความเข้มข้นของไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) และ Long Chain Fatty Acid ในรูป ของ Fat, Oil และ Soap (ATV working group 2.6.1, 1989) ไฮโดรเจนซัลไฟด์ในน้ำเสีย (พบ ในโรงงานอุตสาหกรรมยางพารา) เป็นอีกองค์>>> 066
August-September 2010, Vol.37 No.212
ประกอบหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาตะกอนลอย โดยเฉพาะจากแบคทีเรียสายใยประเภท Thiothrix และ Type 021N 5. วิเคราะห์หาค่าความเข้มข้นของธาตุอาหาร ที่จำเป็นในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ในที่นี้หมายถึง ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส โดยทั่วไปมักกำหนดสัดส่วนของค่าบีโอดี ต่อไนโตรเจน ต่อ ฟอสฟอรัส เท่ากับ 100 : 5 : 1 หากอัตราส่วนไม่เพียงพอจะต้องเติมสารเคมี เช่น ใช้ไนโตรเจนในรูปยูเรีย ใช้ฟอสฟอรัสในรูปกรดฟอสฟอริก เป็นต้น 6. ตรวจสอบค่าพีเอชของน้ำเสียที่เข้าระบบ หากพบว่า มีค่าต่ำ หรือมีสภาวะเป็นกรด
จะต้องปรับค่าพีเอชของน้ำที่จะเข้าถังเติมอากาศด้วยโซดาไฟหรือปูนขาว แต่หากพบว่า มีค่าสูงหรือมี สภาวะเป็นด่างก็จะต้องทำการเติมกรด เช่น กรดเกลือ 7. ตรวจสอบสารอันตรายที่อาจเป็นพิษปะปนมากับน้ำเสีย เช่น โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง เป็นต้น
ี ารแก้ไขปัญหาทางชีวภาพด้วยการใช้ถงั คัดพันธุ์ >> วิธก
เพือ่ ควบคุมปัญหาตะกอนเบาไม่จมตัว
ถังคัดพันธุ์ หรือ Selector เป็นถังที่มีการผสมกันของตะกอนสูบกลับรวมกับน้ำเสียที่ไหล เข้าสู่ระบบแอกติเวเต็ดสลัดจ์ก่อนเข้าสู่ถังเติมอากาศ โดยเป้าหมายของถังคัดพันธุ์ คือ เป็นส่วนที่มี ระยะเวลาการเก็บกักสั้น มีค่าภาระบรรทุกสูง (loading) ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อ Floc-Former แต่ไม่เหมาะสมต่อแบคทีเรียสายใย โดย Floc-Former จะเก็บค่าบีโอดีที่มีในถังคัดพันธุ์ไว้ในเซลล์ อย่างรวดเร็ว เพื่อใช้ในการเติบโต ภายหลังเมื่อเข้าสู่ถังเติมอากาศ (Michael, 2003) ดังแสดงในภาพ ประกอบที่ 3 จะเห็นได้ว่า ถังคัดพันธ์ สามารถใช้ทีละหลายถังก็ได้ อาจมีการต่อแบบอนุกรม หรือ แบบขนานก็ได้ ขึ้นกับวิศวกรผู้ออกแบบระบบ
Secondary Clarifier
Selectors
Secondary Main Aeration Effluent
Basin
RAS
▲ ภาพประกอบที นธุ์ (selector) กับระบบแอกติเวเต็ดสลัดจ์ WAS
่ 3 ถัที่มงคัา:ดพัJenskins et al. (1993)
ถังคัดพันธุ์ แบ่งตามประเภทของปฏิกิริยาออกซิเดชัน ของคาร์บอนอินทรีย์เป็น 3 ประเภท ดังนี้ (ธีระ เกรอต, 2539) 1. ถังคัดพันธุ์แบบแอโรบิก (aerobic selector) มีการเติมอากาศให้กับจุลินทรีย์ เพื่อใช้ กำจัดสารอาหารด้วยกลไกการหายใจ แบบแอโรบิก และเก็บอากาศสำรองไว้ในเซลล์ 2. ถั ง คั ด พั น ธุ์ แ บบแอนอกซิ ก (anoxic selector) ไม่ มี ก ารเติ ม อากาศ จุ ลิ น ทรี ย์ ใ ช้ ออกซิเจนจากไนเตรต กำจัดสารอาหารด้วยกลไกการหายใจ แบบแอนแอโรบิก เกิดปฏิกิริยาดีไนตริฟิเคชัน และเก็บคาร์บอนสำรองไว้ในเซลล์
Energy & Environment Techno
logy
3. ถังคัดพันธุ์แบบแอนแอโรบิก (anaerobic selector) ไม่มีออกซิเจนละลายและไนเตรต กลไกที่เกิดขึ้นคือ การหมัก (fermentation) และเก็บคาร์บอนสำรองไว้ในเซลล์ โดยใช้พลังงานจาก
โพลิฟอสเฟตภายในเซลล์ และให้ฟอสเฟตออกมา ข้อแนะนำในการออกแบบสำหรับถังคัดพันธ์ Jenskins et al. (1993) ได้เสนอแนะข้อ พิจารณาในการออกแบบถังคัดพันธุ์ โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1. ควรมี F/M ratio สูงพอที่จะทำให้เกิดอัตราการดูดซึมสารอินทรีย์ละลายได้อย่างรวดเร็ว มีรายงานที่ชี้ให้เห็นว่า ค่า F/M ที่สูงกว่า 3 กิโลกรัมบีโอดี/กิโลกรัม MLSS/วัน จะทำให้ค่า SVI อยู่ใน ช่วง 100-150 มิลลิลิตร/กรัม 2. ควรมี ข นาดถั ง ที่ ใ ห้ เ วลาเพี ย งพอที่ จ ะกำจั ด สารอิ น ทรี ย์ ล ะลายที่ ส ามารถใช้ ใ นการ เมแทบอลิซึมได้ ขนาดของถังคัดพันธุ์มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบ หากถังคัดพันธุ์มี ขนาดใหญ่เกินไป ความเข้มข้นของมลสาร อาจไม่สูงพอที่จะเกิด Floc-Former และกำจัดแบคทีเรีย สายใยอย่างมีประสิทธิภาพได้ แต่ถ้าขนาดเล็กเกินไป อาจมีระยะเวลาไม่เพียงพอที่จะทำให้ FlocFormer ดูดซึมและเก็บกักมลสารได้ 3. ถังคัดพันธุ์แบบแอโรบิกต้องมีการเติมออกซิเจน อัตราการใช้ออกซิเจนประมาณ 50-60 มิลลิกรัม O2/กรัม MLVSS/ชั่วโมง หรือมากกว่า คิดเป็นประมาณ 15-25 เปอร์เซ็นต์ ของซีโอดีละลาย ที่ถูกกำจัดไป ความเข้มข้นของออกซิเจนละลายควรอยู่ระหว่าง 1-2 มิลลิกรัม/ลิตร 4. ถังคัดพันธุ์แบบแอนอกซิก กำจัดซีโอดีละลายโดยปฏิกิริยาดีไนตริฟิเคชัน ความเข้มข้น ของออกซิเจนละลายต้องต่ำ และต้องเติมไนเตรตให้เพียงพอที่จะกำจัดซีโอดีละลาย อย่างไรก็ตาม วิธีการก่อสร้างถังคัดพันธ์เพิ่มเติมนี้ ระบบบำบัดจะใช้เวลานานในการปรับ สภาพ เช่น หากอายุตะกอนของระบบมีค่า 10 วัน อาจต้องใช้เวลานานถึง 30 วัน จึงจะเห็นผลว่าค่า SVI มีค่าลดลง รายงานผลความสำเร็จ-ล้มเหลว ของการใช้ถังคัดพันธ์ จากประเภทต่าง ๆ ของถังคัดพันธุ์ที่มี
ทั้งสภาวะแบบมีอากาศ หรือแอนอกซิก หรือแบบไร้อากาศนั้น ในการเลือกประเภทของถังคัดพันธุ์ที่จะ นำมาใช้ในระบบแอกติเวเต็ดสลัดจ์ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาตะกอนเบาไม่จมตัว ประสบการณ์ที่ ผ่านมาของนักวิจัยหลายท่านพบว่า จะขึ้นกับชนิดของแบคทีเรียสายใยที่ ต้องการกำจัด ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ Michael (2003) ที่ ประสบความสำเร็จในการทดลองถังคัดพันธุ์ที่มีระยะ เวลาเก็บกัก 15-30 นาที พบว่า สามารถลดค่าสาร อินทรีย์ที่ละลายน้ำลงได้ 70-80 เปอร์เซ็นต์ หาก แต่ Still et al. (1996) พบว่า การนำตะกอนและ ตารางที่ 1 ชนิดของแบคทีเรียสายใยที่สามารถควบคุมโดยถังคัดพันธุ์
Selectors Effective S.natans Type 1701 N.limicola H.hydrossis Type 021N Thiothrix spp. Type 1851 Nocadia spp.
น้ ำ เข้ า ระบบที่ มี Readily Biodegradable COD และออกซิ เ จนเข้ า มาในระบบที่ มี ก าร ไหลทางเดียว ซึ่งเป็นรูปแบบการไหลของถัง คัดพันธุ์ ไม่สามารถควบคุมการเพิ่มจำนวน ของแบคทีเรียสายใยที่อยู่ในสภาวะ F/M ratio ต่ำได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถังคัดพันธุ์สามารถ ควบคุมการเพิ่มจำนวนของ S. natans และ Thiothrix spp. ได้ โดยผลการใช้ถังคัดพันธุ์ สามารถอธิบาย Kinetic Models ซึ่งใช้เป็น เครื่องมือในการออกแบบถังคัดพันธุ์แบบแอโรบิกได้ Chevakidagarn (2002) ทดลองใช้ ถังคัดพันธ์ุประเภทแอนอกซิกกับการบำบัดน้ำ เสียชุมชนแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนี พบว่า การใช้ ถั ง คั ด พั น ธุ์ ใ ห้ ป ระสบผลสำเร็ จ เมื่ อ ระบบแอกติเวเต็ดสลัดจ์มีอายุตะกอนสูง และ ที่มีอุณหภูมิสูง (32 องศาเซลเซียส) ระบบไม่ ต้องการถังคัดพันธุ์ เพื่อช่วยลดค่า SVI และ Mamais et al. (1998) รายงานว่า ไม่ว่าจะใช้ ถังคัดพันธุ์แบบแอนอกซิก หรือแบบแอนแอโรบิก ก็ไม่ส่งผลกระทบใดใดต่อการเติบโตของ แบคทีเรียสายใยชนิด Microthrix parvicella สำหรับการทดลองของ Fainsod (1999) ที่ ทดลองใช้ถังคัดพันธุ์แบบแอนแอโรบิกกับการ ควบคุม Nocardia Forming ก็ไม่ประสบความ สำเร็จเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่า มีทั้งรายงานความสำเร็จ และล้มเหลวของการใช้ถังคัดพันธุ์ โดย Jenskins et al. (1993) ได้รวบรวมผลการทำงาน ของถังคัดพันธุ์ที่มีผลต่อแบคทีเรียสายใย ไว้ ในตารางที่ 1
Selectors Not Always Effective Type 0041 Type 0675 Type 0092 M.parvicella
ที่มา: Jenskins et al. (1993)
August-September 2010, Vol.37 No.212
067 <<<
Techno Energy & Environment logy
จากวิธีการต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนคาดหวังว่า จะมีวิธีการที่เป็นประโยชน์ต่อ
ผู้ ค วบคุ ม ระบบบำบั ด น้ ำ เสี ย แบบแอกติ เ วเต็ ด สลัดจ์ที่ต้องเผชิญกับปัญหาตะกอนเบาไม่จมตัว เพื่อสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการแก้ไข ปัญหาต่อไป Techno
logy
เอกสารอ้างอิง
1. ธีระ เกรอต. 2539. วิศวกรรมน้ำเสีย การบำบั ด ทางชี ว ภาพ. กรุ ง เทพฯ : สำนั ก พิ ม พ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2. ATV Working Group 2.6.1. 1989. Prevention and Control of Bulking Sludge and scum. ATV Technical Committee 2.6.1. (aerobic biological wastewater treatment processes)”. Korrespondenz Abwasser 36: 165-175. 3. Casey, T.G., Wentzel, M.C., Ekama, G.A., Loewenthal, R.E. and Marais, G.v.R. 1994. An Hypothesis For The Cause And Control Of AnoxicAerobic (Aa) Filament Bulking In Nitrogen Removal Activated Sludge System. Wat. Sci. Tech. 29(7): 203-212.
>>> 068
August-September 2010, Vol.37 No.212
4. Chevakidagarn, P. 2002. Upgrading The Conventional Activated Sludge Process Under Tropical Temperature Conditions, Dissertation, Ruhr-Universitaet Bochum, Germany. 5. Chu, L. B., Zhang, W. X., Li, X. and Yang, F. W. 2005. Simultaneous Removal Of Organic Substances And Nitrogen Using A Membrane Bioreactor Seeded With Anaerobic Granular Sludge Under Oxygen-Limited Conditions. Desalination 172: 271-280. 6. Eikelboom, D.H., Andreadakis, A. and Andreasen, K. 1998. “Survey Of Filamentous Populations In Nutrient Removal Plants In Four European Countries”. Journal Water Science and Technology. 37(4/5): 281-289. 7. Fainsod, A., Pagilla, K.R., Jenkins, D., Pitt, P.A. and Mamais, D. 1999. The Effect Of Anaerobic Selectors On Nocardioform Organism Growth In Activated Sludge. Wat. Env. Res. 71(6): 1151-1157. 8. Finger, R.E. 1973. Solids Control In Activated Sludge Plants With Alum. J.Wat. Polln.Control Fedn., 45: 1654.
9. Jenkins D., Richard M.G. and Daigger G.T. 1993. Manual on the Causes and Control of Activated Sludge Bulking and Foaming. Second edition. Lewis Publishers, Boca Raton Ann Arbor London Tokyo 10. Michael Richard. 2003. Activated Sludge Microbiology Problems And Their Control. Presented at the 20 th Annual USEPA National Operator Trainers Conference. Buffalo, NY, June 8, 2003. 11. Still, DA., Ekama, GA., Wentzel, MC., Casey, TG and Marais, GvR. 1996. “Filamentous organism bulking in nutrient removal activated sludge system. Paper 2: Stimulation of the selector effect under aerobic conditions”. Water SA. 22(2): 97-114.