Introduction to Pharmacology_NU/ 1
บทที ่ ่ บทที 1 บทน Introduction to Pharmacology ภญ. อ. ปวิตร ตร พูลบุ ลบุตร ตร แนวคิดรวบยอด ดรวบยอด เภสั ช วิ ท ยาเป ็ ็ นวิ ช าที ่ าที ่ ศึ ก ษาเกี ่ ่ ย วข้ อ งกั บ การเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย า ระหวางรางกายกับสารเคมี บสารเคมี หรือยาที ่ ยาที ่ให้ไปจากภายนอก การศึกษา ทางเภสัชวิทยานั นจะรวมทั งกลไกการออกฤทธิของยาในร ข์ องยาในรางกาย างกาย และ การเป ็ ็ นไปของยาในรางกายตั งแตการดูดซึมยา , การกระจายยา, การเปลี ่ การเปลี ่ยนแปลงยา และการขั และ การขับถถายยาออกจากรางกาย ในบทนี ใน บทนี จะ กล า วถึ ง ความหมายของเภสั ช วิ ท ยา , เภสั ช จลนศาสตร , เภสั ช พลศาสตร, แหลงที ่ งที ่มาของยา และรูปแบบยาเตรี ปแบบยาเตรียมชนิ มชนิดตางๆ รวมทั ง อธิบายการออกฤทธิ บายการออกฤทธิตต์ อยากั อ ยากับตั บตัวรั วรับ (Receptors) วัตถุ ตถุประสงค์ ประสงค์เชิ เชิงพฤติ งพฤติกรรม กรรม เมื ่อนิสิตศึ ตศึกษาเอกสารแล้ กษาเอกสารแล้วนิ วนิสตสามารถ ิตสามารถ 1. เข้าใจความหมายของเภสั าใจความหมายของเภสัชวิ ชวิทยา ทยา 2. อธิบายความหมายของเภสั บายความหมายของเภสัชจลนศาสตร ชจลนศาสตรและเภสั และเภสัชพลศาสตร ชพลศาสตร 3. เข้าใจความส าใจความสาาคัคัญของวิ ญของวิชาเภสั ชาเภสัชวิ ชวิทยาที ทยาที ่มีตตอวิ อวิชาชี ชาชีพพยาบาล พพยาบาล 4. เข้าใจถึงแหลงที ่ ที ่มาของยาและชนิดของยาเตรียมในรูปแบบ ตางๆ างๆ 5. เข้ า ใจความหมายของ Agonist, Partial agonist แ ล ะ Antagonist พร้อมทั อมทั งแยกความแตกตางได้ างได้ 6. อธิ บ ายการเกิ ด Antagonism แ ล ะ Enhancement of drug effects ในรูปแบบต ปแบบตางๆ างๆ 7. เข้ า ใจความหมายและความสาาคั คัญของ therapeutic index, efficacy และ potency กิจกรรมกรเรี จกรรมกรเรียนเพื ยนเพื ่อบรรลุวัวัตถุ ตถุประสงค์ ประสงค์
Introduction to Pharmacology_NU/ 2
1. 2. 3.
ศึกษาเอกสารประกอบการสอน ฟังการบรรยายในห้องเรียน ศึกษาเอกสารอ้างอิงเพิ ่มเติม
กรประเมินผล 1. สอบวัดความร้ ู สื ่อและอุปกรณ์ 1. PowerPoint Presentation 2.
เอกสารประกอบการสอน
บทที ่ 1 บทน Introduction to
Pharmacology
ควมหมยของเภสัชวิทย (Pharmacology) เภสัชวิทยาเป ็ นวิชาที ่ศึกษาเกี ่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาระหวาง ระบบชีวิตกับสารเคมีที ่ให้ไปจากภายนอก ซึ ่งสวนใหญเกี ่ยวกับฤทธิ์ ของสารเคมีท งั ทางด้านชีวเคมีและด้านสรีรวิทยา นั ่นคือ กลไกการ ออกฤทธิ์ของสารเคมีในรางกาย, การดูดซึม , การกระจายตัว , การ แปรสภาพหรือการเปลี ่ยนแปลงสารเคมีในรางกาย และการขับถาย สารเคมีออกจากรางกายรวมทั งการเกิดความเป ็นพิษหรือการน ามาใช้ ให้เกิดประโยชนตอรางกาย ในการศึกษาเภสัชวิทยาของสารเคมีคอน ข้างจะกว้างมาก จึงอาจจา กัดให้แคบลงโดยการศึกษาถึงเฉพาะสาร เคมีที ่นาามาใช้รักษาหรือป้องกันโรค ซึ ่งสารเคมีน ั น ก็ ห มายถึ ง ยา นั ่นเอง ยา (Drugs) หมายถึง สารเคมีที ่ทาให้เกิดการเปลี ่ยนแปลงการ ทา งานของร า งกาย (Biological function) ยาไม ส ามารถทา ให้ เ กิ ด 1.
“
”
Introduction to Pharmacology_NU/ 3
ฤทธิ ใหม ์ (create new function) แต จ ะปรั บ เปลี ่ ย นการทา งานของ รางกายเทานั น ในกรณีสวนใหญโมเลกุลของยาจะเกิดปฏิกิริยารวม กับ โมเลกุลเฉพะที ่ทาหน้าที ่จับกับโมเลกุลของยาและทาให้เกิดฤทธิ์ ของยาขึ น นอกจากนี ยาต้องมีคุณสมบัตทิ ่สี ามารถถูกน าจากจุดที ่ให้ยา (site of administration) ไปยังจุดที ่ ย าออกฤทธิ์ (site of action) ได้ และท้ายที ่สุดยาจะต้องถูกเปลี ่ยนแปลงให้หมดฤทธิ์ (inactivate) และ ถูกขับถายออกไปจากรางกายในอัตราที ่เหมาะสม เพื ่อให้เกิดฤทธิ์ของ ยาในระยะเวลาที ่เหมาะสม
ปฏิกริ ยิ ระหวงยและรงกย (Drug-Body Interactions) ปฏิกิริยาระหวางยาและรางกายแบงออกได้เ ป ็ น 2 อยางคือ 1. เภสัชพลศาสตร (Pharmacodynamics) 2. เภสัชจลนศาสตร (Pharmacokinetics) 2.1 เภสัชพลศสตร์ (Pharmacodymamics) Pharmacodynamics เกี ่ ย วข้ อ งกั บ การออกฤทธิ์ ข องยาต อ รางกาย (what drug does to the body ) เป ็ นการศึกษาผลทั งทาง ด้านชีวเคมีและสรีรวิทยาของยา และกลไกที ่ทาให้เกิดผลทั งด้านที ่พึง ประสงคคือฤทธิ ในการรั ์ กษา และผลที ่ไมพึงประสงคคืออาการข้าง เคียงและพิษของยา ซึ ่งการศึกษาการออกฤทธิ์ของยาตอรางกายยัง รวมถึงการศึกษาการจับของยาเข้ากับโมเลกุลของรางกายที ่ทาหน้าที ่ เป็นตัวรับ (drug target ) และศึกษาถึงความสัมพันธระหวางขนาดยา ที ่ ใ ช้ กับการตอบสนองที ่ เ กิ ด ขึ น ในร า งกาย (dose-response relationship) ด้วย 2.
เภสัชจลนศสตร์ (Pharmacokinetics) Pharmacokinetics เกี ่ยวข้องกับการเป ็ นไปของยาเมื ่อยาเข้าส ู รางกาย หรือหมายถึงการที ่รางกายจัดการกับยาที ่ได้รับ (what the ) ซึ ่ ง ได้ แ ก การดู ด ซึ ม ของยาเข้ า ส ูรางกาย body does to the drug (absorption), การกระจายตัวของยา (distribution), การเปลี ่ยนแปลง 2.2
Introduction to Pharmacology_NU/ 4
ยา (metabolism), และการขั บ ถ า ยยาออกจากร า งกาย (excretion) ซึ ่งองคประกอบเหลานี รวมกับขนาดยาที ่ให้จะเป ็นสิ ่งที ่กา หนดถึงความ เข้ ม ข้ น ของยาในบริ เ วณที ่ ย าไปออกฤทธิ์ และเป็นผลตอเนื ่ อ งไปถึ ง ความแรงของฤทธิ์ ยาที ่เกิดขึ น เวลาที ่ยาเริ ่มออกฤทธิ์ (onset) และ ระยะเวลาการออกฤทธิข์ องยาในรางกาย (duration of action)
Dose of drug administered
absorption Pharmacokinetics
Drug concentration In systemic circulation
Drug in tissues or distribution distribution
Drug concentration at site of action
elimination
Drug metabolized or excreted
Pharmacologic effect Pharmacodynamics
Introduction to Pharmacology_NU/ 5
Clinical response
Toxicity
ภาพที ่
Efficacy
1 Schematic representation of the pharmacokinetic and
pharmacodynamic processes that link administration of drugs to its effects
ควมสคัญของเภสัชวิทยตอวิชชีพพยบล พยาบาลเป ็นบุคลากรทางการแพทยที ่มีหน้าที ่ในการพยาบาล ดูแลผ้ ูปวย ซึ ่งลักษณะงานที ่ต้องมีการใกล้ชดิ กับผ้ ูปวยนี ทา ให้พยาบาล ต้องรับร้ ูเกี ่ยวกับฤทธิ์ ของยาทั งด้านที ่พึงประสงคและไมพึงประสงค และเป ็นผ้ ูหนึ ่งที ่จะชวยให้การใช้ยาเป ็นไปตามวัตถุประสงคที ่ต ั งไว้ ซึ ่ง การที ่ พ ยาบาลจะสามารถช ว ยให้ ก ารใช้ ย าเป ็ นไปได้ อ ย า งมี ประสิทธิภาพจา เป ็ นต้องมีความร้ ูความเข้าใจเกี ่ยวกับยาที ่เพียงพอ เชนเข้าใจวาเหตุใดจึงต้องให้ยาผ้ ูปวยปริมาณครบตามจา นวนและ เวลาที ่กา หนด รวมทั งมีความร้ ูเพียงพอที ่จะสังเกตุผลที ่เกิดขึ นจากการ ใช้ยาเพื ่อรายงานให้กับแพทยผ ู้ทาการรักษาผ้ ูปวย ไมวาจะเป ็นอาการ ไมพึงประสงคหรืออาการพิษที ่เกิดเนื ่องจากการใช้ยาในขนาดที ่สูงเกิน ไป มี ก ารแพ้ ย า หรื อ การใช้ ย าไม ไ ด้ ผ ลในการรั ก ษา เป ็ นต้น ทั งนี เนื ่องจากพยาบาลเป ็นผ้ ูท ่ใี กล้ชิดกับผ้ ูปวยโดยเฉพาะเมื ่อผ้ ูปวยเป ็นผ้ ู ปวยใน ดังนั นนอกเหนือความร้ ูทางด้านการพยาบาลแล้ว ความร้ ูพ ืน ฐานทางด้ า นเภสั ช วิ ท ยาจึ ง นั บ ว า เป ็ นสิ ่ ง ที ่จา เป ็ นสา หรั บ วิ ช าชี พ พยาบาล ควมร ูทั่วไปเกีย่ วกับย แหลงที่มของย 3.
Introduction to Pharmacology_NU/ 6
ยาที ่ใช้สามารถแบงตามแหลงกา เนิดได้เป ็ น 3 กล ุมใหญคือ ยา ที ่ได้จากธรรมชาติ ยาที ่ได้จากการสังเคราะหทางเคมี และยาที ่ได้จาก การกึ ่งสังเคราะหทางเคมี 1. ยาที ่ได้จากธรรมชาติ ยาที ่อย ูในกล ุมนี ได้แก ยาจากแรธาตุ สัตว และพืช รวมทั งจุลชีพ ตัวอยางเชน ยาที่ได้จากแรธาตุ - ยาใสแผลสด Tincture iodine ซึ ่งเป็นยาใช้ภายนอก - ผงน าตาลเกลือแร (Oral Rehydrating Salt; ORS) ใช้ในการ ทดแทนการสูญเสียน าและเกลือแร - ยา Lithium carbonate เป ็ นยารักษาโรคจิตชนิดคล้ ุมคลั ่ง - ยาลดกรดประเภทอลูมิเนียมไฮดรอกไซด แมกนีเซียมไฮดรอก ไซด ยาที่ได้จากสัตว์ - Heparin เป ็ นยาต้านการแข็งตัวของเลือด เป ็ นสารสกัดที ่ได้ จากปอดวัว และเยื ่อบุลา ไส้ของหมู วัว หรือแกะ - Congugated estrogen เป ็ นฮอร โ มนทดแทนฮอร โ มนเพศ หญิง ซึ ่งสกัดได้จากปัสสาวะของม้า ยาที่ได้จากจุลชีพ - ยาในกล ุมนี เรียกวา ยาปฏิชีวนะ สวนมากใช้ในการรักษาโรค ติดเชื อตางๆ โดยเฉพาะเป็นยาต้านเชื อแบคทีเรีย ยาที่ได้จากพืช - Digoxin ได้จากต้น Digitalis เป ็ นยาในการรักษาภาวะหัวใจ ล้มเหลว - Quinine เป็นสารสกัดที ่ได้จากเปลือกต้น cinchona ใช้ ในการ รักษามาลาเรีย 2. ยาที ่ได้จากการสังเคราะหทางเคมี ซึ ่งเป ็ นกล ุมยาที ่ใหญที ่สุด ยาสวนใหญ ในปัจจุบันได้จากการสังเคราะหทางเคมีตัวอยางเชน ยาใน ก ล ุ ม ต้ า นการอั ก เสบที ่ ไ ม ใ ช ส เตี ย รอยด (Non-steroidal antiinflammatory drugs; NSAIDs), ยารักษาโรคเบาหวาน (Antidiabetic drug) เป็นต้น 3. ยาที ่ได้จากการกึ ่ ง สั ง เคราะห ท างเคมี ส ว นใหญ เ ป ็ นยาที ่มี สูตรโมเลกุลที ่ซับซ้อน จึงเริ ่มต้นจากการน าสารสกัดจากพืชมาเป ็ น
Introduction to Pharmacology_NU/ 7
สารตั งต้น ตัวอยางเชนสารพวกฮอรโมนเพศ สารที ่น ามาเป ็นสารตั ง คื อ Diosgenin ได้ จ า กพื ช และ น า ไป สั ง เ คร าะ ห Testosterone, estradiol และ corticosrteroids เป ็ นต้น
กรเก็บรักษย การเก็บรักษายาเป ็ นสิ ่งสา คัญซึ ่งบุคลากรทางการแพทย ทั ง เภสัชกร แพทย รวมทั งพยาบาลมีบทบาทสา คัญที ่จะทาให้การใช้ยาไม เกิดข้อผิดพลาด และยายังคงมีฤทธิ ในการรั ์ กษาขณะที ่ผ ู้ปวยได้รับยา โดยที ่ยาไมหมดอายุ หรือเสื ่อมสภาพเสียกอน ข้อที ่ควรปฏิบัติคือ 1. ควรมีภาชนะบรรจุยาหรือต้ ูเก็บยาเป ็นสัดสวน และตั งไว้ในที ่ อากาศถายเทสะดวก ไมถกู แดดสอง หรือร้อนอบอ้าวและไมอย ู ในที ่ ชืน 2. ไมควรเก็บยาตางชนิดกันในซองเดียวกัน หรือภาชนะบรรจุ เดียวกัน 3. ระวังฉลากยาหลุดหายหรือฉีกขาด และควรมีการเขียนฉลาก บนภาชนะบรรจุยาเสมอ 4. ในกรณีท ่ียาบรรจุในภาชนะที ่เป ็ นขวดสีชา ห้ามเปลี ่ยนเป ็ น ขวดใส เนื ่องจากแสดงวายาชนิดนั นต้องเก็บในที ่กันแสง 5. ควรปิดภาชนะบรรจุ ยาให้สนิทเสมอ 6. ควรมีการตรวจดูวายาใกล้หมดอายุหรือไม หากหมดอายุควร ทาการกาจัดทันที โดยทั ่ ว ไปยาสามารถเก็ บ ได้ ท ี ่ อุ ณ หภู มิ ห้ อ ง (15-30 องศา เซลเซียส) ไมจา เป ็นต้องเก็บในต้ ูเย็นเสมอ ยกเว้นยาบางชนิดซึ ่งสวน มากเป ็ นพ วก วั ค ซี น หรื อ ยาฆ า ต้ า น แบ คที เ รี ย บา งช นิ ดเ ช น chloramphenicol eye/ ear drop
รูปแบบยเตรียม รู ป แ บ บ ย า เ ต รี ย ม (dosage form or pharmaceutical preparation) คือรูปแบบยาเตรี ยมที ่เตรียมขึ นเพื ่อให้เหมาะสมกับการ ใช้ อย ูในรูปแบบที ่สะดวกและเหมาะสมในการใช้ โดยที ่ในรูปแบบยา เตรียมจะประกอบด้วยตัวยาสา คัญที ่ออกฤทธิ์และสวนประกอบอื ่นๆที ่ ชวยทาให้ยาอย ูในรูปแบบที ่เหมาะสมหรือชวยในการปลดปลอยตัวยา ชวยในการแตงกลิ ่น แตงรส แตงสี รูปแบบยาเตรียมที ่ดีควรมีสมบัติดังนี คอื
Introduction to Pharmacology_NU/ 8
มีขนาดของตัวยาที ่ออกฤทธิถ์ ูกต้องตามมาตรฐาน 2. มีความสามารถปลดปลอยตัวยาที ่ออกฤทธิ์เข้าส ูรางกาย ได้ และมีประสิทธิภาพดี ในการรักษาโรคที ่มีขอ้ บงใช้ 3. มีความสม ่าเสมอของขนาดยาในแตละครั งที ่ใช้ 4. มีความปลอดภัย บริสุทธิ ์ ไมมีการปนเปื อนของสารที ่เป ็ น อันตรายตอรางกาย 5. มีความคงตัวที ่ดีเมื ่อเก็บไว้ ในระยะเวลาที ่กา หนด 6. มีลักษณะที ่นาใช้ สะดวกในการใช้ รูปแบบยเตรียม รูปแบบยาเตรียมอาจแบงตามลักษณะทางกายภาพได้เ ป ็ น 1. ของแข็ง เชน ยาเม็ด แคปซูล ยาผง 2. ของเหลว เชน ยาน าเชื ่อม ยาสวนล้าง ยาน าแขวนตะกอน ยาน าแขวนละออง 3. กึ ่งของแข็ง เชน ขีผ งึ ครีม เจล รูปแบบยาที่เป ็นของแข็ง ยาเม็ด (Tablet) ยาเม็ดเป ็นรูปแบบยาเตรียมที ่เป ็นเม็ดแข็ง มีรูปรางและขนาดที ่ แตกตางกันไป ยาเม็ดประกอบด้วยตัวยาสา คัญและสวนประกอบอื ่ น เชน สารที ่ชวยเพิ ่มปริมาณ, สารยึดเกาะ เพื ่อให้ผงยาสามารถยึดเกาะ กั น , สารที ่ทา ให้ เ ม็ ด ยามี ก ารแตกตั ว ได้ , สารหล อ ลื ่ น เพื ่ อ ให้ ย า สามารถหลุดออกจากเบ้าตอกได้ รวมทั งสารอื ่นๆ เชนสารแตงสี กลิ ่น รส เพื ่อให้ยานารับประทาน ยาเม็ดสามารถแบงเป ็นประเภทยอยได้แก Plain tablet ย า เ ม็ ด ที ่ ไ ม ไ ด้ มี ก า ร เ ค ลื อ บ เ ช น 1.
•
Paracetamol tablet •
ยาเม็ดเคลือบสารตางๆ เพื ่อกลบรสชาติ หรือเพื ่อเพิ ่มความคงตัวให้ยาแตกตัวในบริเวณทางเดิน อาหารที ่ ต้ อ งการ ได้ แ ก ยาเม็ ด เคลื อ บน าา ตาล (sugar coated tablet) ยาเม็ ด เคลื อ บฟิ ล ม (film coated tablet) ยาเม็ ด เคลื อ บเพื ่ อ ให้ แ ตกตั ว ที ่ลา ไส้ (enteric coated Coated tablet
Introduction to Pharmacology_NU/ 9
tablet)
•
ซึ ่งมักใช้กับยาที ่มีการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
เชน aspirin tablet ยาอมใต้ ล ิ น (Sublingual
tablet)
เช น
Nitroglycerin SL
tablet •
•
•
ยาเม็ดสาหรับเคี ยว (Chewable tablet) ยาเม็ดฟู (Effervescent tablet) ยาเม็ดออกฤทธิ์ เนิ ่ น (sustained release tablet) เป ็ นยา เม็ดที ่คอยปลดปลอยตัวยาออกมาอยางช้าๆ ทา ให้ยาออก ฤทธิ ได้ ์ นาน ซึ ่งจะชวยลดความถี ่ของการรับประทานยา และเพิ ่ ม ความร ว มมื อ ในการใช้ ย าของผ้ ูป วย เช น Nifedipine CR
ยาแคปซูล (Capsule) เป ็ นรู ป แบบยาเตรี ย มชนิ ด ของแข็ ง เป ็ นผง , แกรนู ล หรื อ ของเหลวที ่บรรจุ ในปลอกซึ ่งเตรียมจากเจลาติน แบงได้เ ป ็ น 2 ชนิดคือ Soft capsule แคปซู ล ชนิ ด อ อ น แคปซู ล เป ็ นชิ นเดียว บรรจุยาที ่เป ็ นของเหลวไว้ภายใน ใช้กับยาที ่เตรียมเป ็ น เม็ดได้ยาก และไมคงตัว Hard capsule แคปซูลชนิดแข็ง แคปซูลเป ็ น 2 สวนสวม เข้าหากัน ภายในบรรจุผงยาหรือแกรนูล ผงยาที ่บรรจุ นอกจากเป ็ นตัวยาสา คัญแล้วมักมีสารเพิ ่มปริมาณและ สารหลอลื ่นด้ วย แคปซูลมีขอ้ ดีท ่ีรับประทานงาย กลบรสและกลิ ่นของยาได้ดี ยาผง (Powders) และยาแกรนูล (Granule) เป ็ นรูปแบบยาที ่เป ็ นผงละเอียดหรือผงหยาบแห้ง โดยอาจ เป ็นตัวยาสาคัญที ่ผสมกับสวนประกอบอื ่นๆ ได้แก ยาผงสา หรับรับประทาน โดยกอนรับประทานต้องมี การผสมผงยากับน ากอน เชนยาปฏิชวี นะสาหรับเด็ก ยาผงทาภายนอก เชน ยาโรยแผลฆาเชื อโรค ยาผงสา หรั บ ฉี ด (sterile powder for injection) โดย มักเป ็นตัวยาที ่ไมคงตัวในสารละลายจึงเตรียมอย ูในรูป ผงบรรจุในหลอดแก้วที ่ปราศจากเชื อและต้องผสมกับ ตัวทาละลายกอนฉีด รูปแบบยาที่เป ็นของเหลว •
•
•
• •
Introduction to Pharmacology_NU/ 10
ยาน าใส (Solution) เป ็ นยาเตรียมของเหลวซึ ่งมีตัวยาละลายในของเหลวเป ็ นเนื อ า อาจเป็นได้ท ั ง ยารั บ ประทาน ยาฉี ด และยาใช้ เดี ย วกัน ยาน าใสนี ภายนอกเฉพาะที ่ ตัวอยางเชน น า เกลือ ยาหยอดตา ยาอมบ้วนปาก น ายาสวนล้าง ยาน าเชื ่อม (Syrup) เป ็ นยาเตรียมของเหลวในสารละลายซึ ่งมีรสหวานจากน า ตาล หรือสารให้ความหวานอื ่นๆเชน sorbitol ตัวอยางยาน าเชื ่อมที ่นิยมใช้ อยางแพรหลายได้แก Paracetamol syrup, CPM syrup สาหรับเด็ก อิลกิ เซอร (Elixir) เป ็ นยาเตรียมที ่มีตัวยาสา คัญละลายในแอลกอฮอล มีรสหวาน ใช้รับประทาน โดยอาจมีแอลกอฮอลสูงถึง 20% ก็ ได้ ยาเตรียมชนิดนี มีแอลกอฮอลสงู จึงไมเหมาะกับเด็กเล็ก สปิรติ (Spirit) เป็นยาเตรียมชนิดน าที ่มีแอลกอฮอลในปริมาณที ่สูงมากถึง 6090% อาจใช้เ ป ็ นยาภายนอกใช้สูดดม หรือภายใน ตัวอยางยาสปิ ริต เชน peppermint spirit ยาน าแขวนตะกอน (Suspension) เป ็ นรูปแบบยาเตรียมที ่มีตัวยาสา คัญเป ็ นผงยาในรูปของแข็ง แขวนลอยอย ูในของเหลว โดยมีสารชวยแขวนตะกอน (suspending agent) ยาน าแขวนตะกอนสามารถออกฤทธิ ได้ ์ เร็วกวายาเม็ด แตต้อง เขยาขวดกอนรับประทานเสมอ ตัวอยางเชน ยาน า ลดกรด (Antacid) เป ็นต้น ยาน าแขวนละออง (Emulsion) เป ็นยาเตรียมที ่มีตัวยาสา คัญละลายในของเหลวสองชนิดซึ ่งไม ละลายในกันและกัน แตผสมกั นอย ูในรูปแขวนละอองโดยมีสารแขวน ละออง (Emulsifier) เป ็นตัวชวย โลชั ่น (Lotion) า ยาน าแขวนตะกอน า า เป ็ นยาเตรี ย มรู ป น าใส หรื อ ยาน าแขวน ละอองที ่ใช้ภายนอกเฉพาะที ่ ลินิเม้นท (Liniment)
Introduction to Pharmacology_NU/ 11
เป ็นยาเตรียมภายนอกที ่ตัวยาละลายอย ูในตัวทา ละลายซึ ่งเป ็น รูปน ามัน มักใช้เพื ่อทา ถู นวดบนผิวหนัง รูปแบบยาที่เป ็นกึ่งของแข็ง ครีม (Cream) ครีมเป ็น emulsion ที ่มีความข้นมากใช้สา หรับภายนอกเทานั น ตัวอยางยารูปแบบนี เชน ครีมทาแก้ปวดบวม ครีมทาลดการอักเสบ เชน Methylsalicylate cream ยาขี ผ งึ (Ointment) ขีผ ึ งเป็นยาที ่ตัวยาสา คัญละลายในยาพื น (base) ซึ ่งมีลักษณะ เป ็ นมัน ยาขี ผ ึ งมีหลายประเภทเชน ขีผ ึ งทาแผล ขีผ ึ งป้ายตา (eye ointment) ขีผ งึ ทาแก้ปวดบวม เจล (Gel) เป ็ นยาเตรียมกึ ่งแข็งกึ ่งเหลว ซึ ่งตัวยาพื นมักเป ็ นโพลีเมอรที ่มี ขนาดเล็กเรียงตัวตอกัน ปัจจุบันเจลได้รับความนิยมมากขึ นเนื ่องจาก ไมเปรอะเปื อน และตัวยาซึมผานผิวหนังได้ดี ยาเหน ็บ (Suppositories) เป็ น ยาเตรี ย มกึ ่ ง แข็ ง ซึ ่ ง ใช้ โ ดยการเหน็ บ ทวารหนั ก (rectal suppository) เพื ่อ จุ ด ประสงค ใ ห้ อ อกฤทธิ์ เฉพาะที ่ หรื อ ออกฤทธิ์ ทั ่ ว รางกายก็ได้ ยาเหน ็บจะคอยๆออนตัวและหลอมละลายภายในลา ไส้ที ่ อุณหภูมิของรางกาย ตัวอยางยาเหน็บที ่นิยมใช้ได้แก ยาระบาย ยาชา เฉพาะที ่ ยากันชัก เป ็นต้น นอกจากนี ยังมียาเหน ็บชองคลอด (vaginal suppository) ซึ ่งใช้ ในการรักษาเฉพาะที ่ เชน ยาต้านเชื อราเหน ็บชองคลอด เป ็นต้น
Introduction to Pharmacology_NU/ 12
4. Concentration - Effect Curve
หรื อ Dose-response curve เป ็ นการ plot ระหวางความเข้มข้นของยากับการตอบสนองที ่เกิดขึ น ดังแสดงในภาพที ่ 2 Concentration – effect curve
ภ า พ ที ่
2 Experimentally observed concentration-effect
curves.
แสดงให้ เ ห็ น ความสั ม พั น ธ ระหวางความเข้มข้นของยากับการตอบสนอง หรือผลทางเภสัชวิทยา ที ่เกิดขึ น ยาโดยมากเมื ่อให้ความเข้มข้นของยาที ่สูงขึ นจะทาให้การ ตอบสนองเพิ ่มขึ น จนกระทั ่งถึงจุดจุดหนึ ่งการตอบสนองจะสูงสุดเรียก วา Maximum response” Concentration-response curve
“
Agonists VS Antagonists
Introduction to Pharmacology_NU/ 13
การออกฤทธิ์ของยาหลายชนิดจะมีเป้าหมายการออกฤทธิ์ ตอ โปรตีนที ่เรียกวา receptor ยาที ่สามารถจับกับ receptor ได้เรียกว า ligand” ซึ ่ง Ligand อาจเป ็น agonist หรือ antagonist ก็ ได้ “
Agonists
หมายถึงสารที ่เมื ่อรวมตัวหรือจับเข้ากับ Receptors แล้วจะ กระต้ ุน (activation) receptor นั นและกอให้เกิดฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ขึ น ในความเป ็ นจริงความสามารถในการ Activate receptor นั นเป ็น แบบ graded ” คือสาร / ย า แต ล ะชนิ ด อาจมี ค วามสามารถในการ activate receptor ได้แตกตางกัน ยาที ่เมื ่อจับกับ receptor แล้วทาให้ เกิด Maximal response ได้เรียกวาเป ็ น full agonist” สวนยาที ่เมื ่อ จับกับ receptor แล้วทาให้เกิดได้เพียง submaximal response เรียก วาเป ็น partial agonist” “
“
“
Antagonists
หมายถึ ง สารที ่ เ มื ่ อ จั บ กั บ Receptor แล้ ว ไม ทา ให้ เ กิ ด การ activation ใดๆ แต ผ ลการจั บ ของ Antagonists กับ receptor จะไป ป้องกันการจับของ agonist เข้ากับ receptor ดังนั นอาจกลาวได้วา antagonist จะบดบังหรือรบกวนการออกฤทธิข ์ อง agonist นั ่นเอง
Introduction to Pharmacology_NU/ 14
ภาพที ่
3
Theoretical occupancy and response curves for full
and partial agonist.
แสดงถึง % Response เมื ่อให้ยาในความเข้มข้นตางๆ ของยา a และ ยา b พร้อมทั งแสดง occupancy (สัดสวนของ receptor ที ่ถูกจับด้วย ยา) เมื ่อให้ยาในความเข้มข้นตางๆ ของยา a และยา b จะเห็นวายา a เป ็ น Full agonist สามารถให้ maximum response ได้ และเกิ ด maximum response ได้ ขณะที ่ ย า b เป ็ น partial agonist ทาให้เกิดเพียง submaximal response Drug antagonisms
“Pharmacologic antagonism” antagonist ไปป้องกันไมให้ agonist
เป็ น การต้ า นฤทธิ์ ที ่ เ กิ ด จาก เข้าจับกับ receptor ซึ ่งชนิดของ
การต้านฤทธิน์ ีมี 2 แบบคือ 1. Competitive antagonism
จะแย ง ที ่ agonist ในการจั บ กั บ receptor เดี ย วกั น ถ้ า มี antagonist อย ู ด้ ว ยจะทา ให้ Dose response curve” ของ agonist เคลื ่อนย้าย (shift) ไปทางขวา มือ ซึ ่งแสดงวาต้องใช้ความเข้มข้นของ agonist มากขึ นเพื ่อให้ เกิดฤทธิท์ ่เี ทาเดิม (เมื ่อไมมี antagonist อย ูดว้ ย) Competitive antagonists
“
Introduction to Pharmacology_NU/ 15
2. Non-competitive antagonism
จะรวมตั ว กั บ receptor แบบ ถาวร (irreversible) กับ binding site ที ่ใช้จับกับ agonist หรือ อาจจับกับ site อื ่น ๆของ receptor ที ่ทา ให้เกิดการยับยั งการ ตอบสนองของ receptor ต อ agonist ได้ การต้ า นฤทธิ์ แบบ non-competitive antagonist นี ไมวาจะให้ agonist เพิ ่มไปมาก เทาใดก็ตามจะไมสามารถลบล้างฤทธิ์ ของ antagonist ได้เลย ผ ล ที ่ ไ ด้ คื อ Dose-response curve” เ มื ่ อ มี antagonist ประเภทนี อย ูด้วยจะได้ Maximum response ของ agonist ที ่ต ่ า ลงกวาเดิม Non-competitive antagonist
“
A. competitive antagonism
B.
Non-competitive
antagonism
% response
% response
100
100
50
50
log [A]
log [A]
Introduction to Pharmacology_NU/ 16
ภ า พ ที ่
4 The effects of antagonists on dose-response
relationships
Other Mechanism of Drug Antagonism
นอกจากการต้านฤทธิ์กันของยาจะเกิดขึ นแบบ Pharmacologic antagonism แล้ ว การต้ า นฤทธิ์ กั น ของยายั ง สามารถเกิ ด ขึ น ได้ เนื ่องจากกลไกอื ่นๆที ่ไม ได้เกี ่ยวข้องกับการจับที ่ตัว Receptor ได้แก Physiological Antagonism
เป ็ นการต้านฤทธิ์ ระหวางยาที ่จับกับ Receptor ที ่แตกตางกัน แต ให้มีการต้านฤทธิ์กันได้เนื ่องจากให้ผลทางสรีรวิทยาที ่ต้านกัน เชน Antagonism ที ่ เ กิ ด จ า ก ย า ที ่ อ อกฤทธิ์ ต อ Sympathetic แ ล ะ Parasympathetic nervous system Sympathetic drug จะทา ใ ห้ อั ต ราการเต้ น ของหั ว ใจเพิ ่ ม ขึ น และหลอดเลื อ ดหดตั ว ขณะที ่ Parasympathetic drug จะทา ให้ อั ต ราการเต้ น ของหั ว ใจช้ า ลงและ หลอดเลือดขยายตัว ซึ ่งจะเห็นวาเป ็ นการต้านฤทธิ์กัน โดยปกติแล้ว การต้ า นฤทธิ์ เ ช น นี ไ ม จา เพาะเจาะจงและควบคุ ม ได้ ย ากกว า Pharmacologic antagonism
Antagonism by Neutralization (Chemical Antagonism)
การต้านฤทธิเ์ ชนนี เกิด ขึนเมื ่อยา 2 ชนิดเกิดปฏิกิริยาเคมีตอกัน และทาให้ยาไมสามารถไปออกฤทธิ ได้ ์ เชน ยา tetracycline หากรับ ประทานยานี ร ว มนมหรื อ แคลเซี ย มจะเกิ ด chelation ทา ให้ ย าไม สามารถดูดซึมและเข้าไปออกฤทธิ ในร ์ างกายได้ Enhancement of Drug Effects 1. Additive drug effects
กรเสริมฤทธิก ันของย
Introduction to Pharmacology_NU/ 17
เกิดขึ นเมื ่อให้ยา 2 ชนิดที ่มีฤทธิเ์ หมือนกันเข้าไปพร้อมกันจะ ทาให้เกิดฤทธิท์ ่เี ทากับ ผลรวมของฤทธิย์ าทั ง 2 (1+1 = 2) 2. Synergism
เกิดขึ นเมื ่อ ยา 2 ชนิดที ่มีฤทธิ์ เหมือนกัน ถ้าให้พร้อมกันจะ เกิดฤทธิท์ ่มี ากกวาผลรวมของยาทั ง 2 (1+1 > 2) 3. Potentiation
เกิดขึ นเมื ่อยาชนิดหนึ ่งที ่ไมมีฤทธิ์ แตเมื ่อให้รวมกันกับยาอีก ชนิดหนึ ่งจะสามารถเพิ ่มฤทธิ์ของยาอีกชนิดหนึ ่งได้ (0+1 > 1)
Therapeutic index
หากทาการศึกษาในสัตวทดลองจานวนหนึ ่ง และให้ยาชนิดหนึ ่ ง ในขนาดยาที ่แตกตางกันเพิ ่มขึ นเรื ่อยๆ และนับจา นวนสัตวทดลองที ่ ตอบสนองตอยาในขนาดยาตางๆ น าคาที ่ได้มา Plot graph ระหวาง Log dose กับจานวน (หรือ percentage) ของสัตวทดลองที ่ตอบสนอง จะได้ graph แสดงดังภาพ
Introduction to Pharmacology_NU/ 18
ภาพที ่ 5 Quantal Dose-Effect curves จาก Curve นี - Dose ของยาที ่ ท า ให้ เ กิ ด การตอบสนอง (เช น หลั บ ) ใน ประชากร 50% เรี ย กว า เป ็ น Median effective dose” หรือ ED ์ ่ที าให้เกิดการตาย และ - ขณะเดียวกันหากทาการศึกษาฤทธิท นับจานวนประชากรที ่ตาย Dose ของยาที ่ทาให้เกิดการตาย ในสั ต ว ท ดลอง 50% เรี ย กว า เป ็ น Median lethal dose” หรือ LD - จากค า ED แ ล ะ LD ที ่ ไ ด้ จ ะสามารถบ ง บอกถึ ง Therapeutic Index, T.I.” ซึ ่งเป็นคาหนึ ่งที ่ใช้ประเมินความ ปลอดภัยในการใช้ยา “
50
“
50
50
50
“
T.I.
=
LD50 / ED50
ถ้าหากคา LD สูงกวา ED มากก็แสดงวาขนาดยาที ่ทา ให้ ตายอย ูหางจากขนาดยาที ่ทาให้เกิดฤทธิม์ าก และคา T.I. จะสูง จากตั ว อย า งใน Graph จะเห็ น ว า มี ค า ED = 100, LD = 400 ดังนั นคา T.I. = 400/100 = 4 50
50
50
50
Introduction to Pharmacology_NU/ 19
Efficacy VS Potency Efficacy (ประสิทธิภาพ)
หมายถึง ความสามารถของยาที ่ทาให้
เกิดฤทธิส์ งู สุด (Maximum response) ์ า ซึ ่งวัดได้จากความแตก Potency หมายถึ งความแรงของฤทธิย ตางของขนาดที ่ใช้ของยา 2 ชนิดเพื ่อทาให้ ได้ผล / ฤทธิท์ ่เี ทากัน ซึ ่งยาที ่ มีความแรงสูงจะใช้ขนาดยาต ่า ก็สามารถทา ให้เกิดฤทธิ์ ท ่ีต้องการได้ ขณะที ่ยาที ่มีความแรงต ่าจะต้องใช้ขนาดยาสูงขึ นมากกวาจึงจะทาให้ เกิดฤทธิท์ ่ตี ้องการ Potency ไม ข ึ นกับ Efficacy และโดยปกติ แ ล้ ว Efficacy จะ สาคัญกวา Potency ในการเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับภาวะของโรค
Bibliography
1. Hardman Goodman
JG, &
therapeutics. 9
Goodman Gilman’s
th
Gilman The
A,
Limbird
pharmacological
LE, basis
ed. of
ed. New York: The McGraw-Hill; 1996. th
2. Katzung BG, ed. Basic and clinical pharmacology, 8
ed.
New York: Lange medical books/McGraw-Hill; 2001. th
3. Rang HP, Dale MM, Ritter JM, Pharmacology. 4
ed.
Edinburgh: Churchill Livingstone; 2000. 4.
5.
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม . เภสัชวิทยา เลม 1; 2539. ยุพิน สังวรินทะ และคณะ. เภสัชวิทยา . ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะ วิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยมหิดล. พิมพค รังที ่ 3. 2539.