Home
Add Document
Sign In
Register
การศึกษาภายใต้ทุนนิยม
Home
การศึกษาภายใต้ทุนนิยม
...
Author:
Giles Ungpakorn
1194 downloads
7391 Views
315KB Size
Report
DOWNLOAD .PDF
Recommend Documents
No documents
คำนำ กำรศึกษำภำยใต้ ทุนนิยม โดย ใจ อึ๊งภำกรณ์ ระบบการศึกษาสาธารณะสาหรับประชาชน เกิดขึ ้นเป็ นครัง้ แรกหลังกาเนิดของทุนนิยม เพราะก่อนหน้ านี ้ ภายใต้ ระบบฟิ ว เดิล ระบบศักดินา หรื อระบบทาส คนส่วนใหญ่ทางานในภาคเกษตรด้ วยเทคโนโลจีพื ้นฐาน ดังนั ้นคนที่อา่ นออกเขียนได้ และคนที่ศกึ ษาวิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรื อวรรณคดี มีแค่พวกพระ หรื อครูศาสนา หรื อในกรณีจีน จะเป็ นพวกข้ าราชการที่ ต้ องผ่านการสอบคัดเลือกไม่กี่คนเท่านั ้น เมื่อระบบทุนนิยมเข้ ามา มีการพัฒนาเครื่ องจักรและเทคโนโลจีอย่างรวดเร็ว คนส่วนใหญ่ถกู ดึงหรื อผลักเข้ ามาในระบบ การผลิตสมัยใหม่และหลุดจากชีวติ ชนบท
แม้ แต่ในชนบทก็เริ่มมีการนาระบบเกษตรทุนนิยมเข้ ามาแทนที่การผลิตของ
เกษตรกรรายย่อย ในระยะแรกๆ ของกาเนิดทุนนิยม หรื อที่เขาเรี ยกกันว่ายุค “การปฏิวตั ิอตุ สาหกรรม” ชนชั ้นปกครองยัง ไม่ต้องการแรงงานฝี มือที่อา่ นออกเขียนได้ แค่ต้องการ “ผู้ใช้ แรง” ดังนั ้นไม่มีระบบโรงเรี ยนสาหรับเด็กส่วนใหญ่ และผู้ใหญ่ ทั ้งชายหญิง และเด็กเล็กจนโต ก็ต้องไปทางานกับเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ร้ านค้ า หรื อในเหมืองแร่ แรงงานเด็ก แบบนี ้มีประโยชน์สาหรับนายทุนที่สามารถจ่ายค่าจ้ างน้ อยๆ และเป็ นสิ่งจาเป็ นสาหรับครอบครัวกรรมาชีพ เพราะค่าแรง ของผู้ใหญ่ไม่พอเลี ้ยงครอบครัว จริงๆ แล้ วมันก็ไม่ต่างจากสังคมเกษตรก่อนทุนนิยมด้ วย เพราะทุกคนในครอบครัวต้ อง ช่วยทางานในยุคนั ้น เพียงแต่ว่าระบบอุตสาหกรรมมันโหดร้ าย สกปรก อันตราย และเต็มไปด้ วยวินยั บังคับ ที่มาจาก หัวหน้ างานหน้ าเลือด สภาพชีวติ ของคนงานทุกอายุก็แย่ เพราะขาดอาหารที่มีคณ ุ ภาพ และขาดแสงแดดและอากาศ บริสทุ ธิ์ ในประเทศยากจนสมัยนี ้ เรายังพบแรงงานเด็กและสภาพการทางานที่ย่าแย่สดุ จะทนได้ แต่มนั เป็ นกรณีส่วนน้ อย ถ้ าดูภาพรวมของโลก เมื่อทุนนิยมพัฒนาขึ ้น และมีเทคโนโลจีที่สลับซับซ้ อนมากขึ ้น นายทุนเริ่มเห็นประโยชน์ของคนงานที่มีทกั ษะ การศึกษา และฝี มือมากขึ ้น ยิ่งกว่านี ้แรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้ างกาไรให้ นายจ้ าง ย่อมเป็ นแรงงานที่มีสขุ ภาพดีแข็งแรง ดังนั ้นมีการนาระบบการศึกษาสาหรับเด็กทุกคนมาบังคับใช้ ผ่านนโยบายและค่าใช้ จ่ายของรัฐ
แต่เนื่องจากทุนนิยมเป็ น
สังคมชนชั ้น การศึกษาที่รัฐจัดให้ คนธรรมดา ย่อมแตกต่างโดยสิ ้นเชิงจากการศึกษาในโรงเรี ยนเอกชนหรื อมหาวิทยาลัย ของอภิสิทธิช์ นที่จดั ไว้ สาหรับลูกหลานคนรวยและผู้มีอานาจ สาเหตุที่เป็ นอย่างนั ้นก็เพราะรัฐต้ องเก็บภาษีจากนายทุน บริษัทต่างๆ และประชาชนทัว่ ไปสาหรับระบบการศึกษา และ แน่นอนนายทุนใหญ่และคนรวยไม่ต้องการจ่ายภาษีสงู ๆ เพื่อให้ มีการศึกษาระดับเลิศๆ ให้ กบั เด็กทัว่ ไปที่พอโตขึ ้นแล้ วจะ มาเป็ นคนงาน ส่วนลูกหลานคนมีอานาจหรื อคนรวยเป็ นพวกที่จะเตรี ยมตัวเข้ าสู่ชนชั ้นปกครอง เขาจึงต้ องได้ รับการศึกษา ที่ดีที่สดุ
ในระยะแรกเส้ นแบ่งระหว่างโรงเรี ยนหรื อสถานที่ศกึ ษาที่เก็บค่าเรี ยนสูง กับสถานที่ศกึ ษาของรัฐที่ให้ เรียนฟรี มันเพียง พอที่จะแยกพวกเด็กส่วนใหญ่ที่จะเป็ นผู้ถกู ปกครองออกจากเด็กที่จะเป็ นชนชั ้นปกครองในอนาคต แต่พอทุนนิยมพัฒนา ถึงระดับสูงขึ ้น นายทุนจาเป็ นที่จะต้ องมีลกู จ้ างประเภทที่เป็ นช่างฝี มือที่เข้ าใจ ใช้ และออกแบบเทคโนโลจีได้ ดังนั ้นใน โรงเรี ยนรัฐจึงมีการสอบคัดเลือกเด็กบางส่วน ที่จะเป็ นแรงงานฝี มือระดับกลาง และผู้ที่ผ่านการสอบนี ้จะมีสิทธิพิเศษเข้ า โรงเรี ยนรัฐที่มีคณ ุ ภาพมากขึ ้น บางคนอาจได้ รับทุนพิเศษเพื่อเรี ยนในโรงเรี ยนเอกชนชั ้นดีด้วย ตลอดเวลาที่ระบบทุนนิยมดารงอยู่ ผลประโยชน์ของนายทุนในการกอบโกยกาไรสูงสุด บวกกับการที่ต้องการประหยัด ค่าใช้ จ่ายของรัฐและลดการเก็บภาษีกบั กลุ่มทุนหรื อคนรวย หมายความว่าระบบการศึกษาและการสอบ ถูกออกแบบให้ คนส่วนใหญ่เป็ นผู้ที่ “ล้ มเหลว” คือสอบไม่ผ่านและได้ รับการศึกษาพื ้นฐานที่เหมาะกับหน้ าที่ของตนในอนาคตเท่านั ้น ส่วน คนจานวนหนึง่ ที่สอบผ่านจะถูกยกระดับไปสูค่ นที่ได้ การศึกษาระดับกลางเพื่อให้ เป็ นช่างฝี มือ และคนอีกส่วนหนึง่ จะได้ รับ การศึกษาสุดยอดที่เหมาะกับการเป็ นผู้ปกครองประชาชนในวันข้ างหน้ า แต่การสอบตกหรื อผ่าน ไม่ได้ วดั ความฉลาดแต่ อย่างใด มันวัดโอกาสของเด็กในแต่ละชั ้นชนที่จะได้ รับสิ่งอุตหนุนในการสอบผ่านมากน้ อยแค่ไหนต่างหาก ในระบบทุนนิยมสภาพสังคมชนชั ้นที่เต็มไปด้ วยความเหลื่อมล ้า ถูกประดิษฐ์ ขึ ้นมาโดยชนชั ้นปกครอง แต่ถกู ชนชั ้น ปกครองเหล่านั ้นสร้ างภาพว่ามันเป็ น “ธรรมชาติ” คือเขาจะเป่ าหูเราให้ เชื่อว่าคนส่วนน้ อยฉลาดเป็ นพิเศษ คนอีกส่วนหนึง่ ฉลาดปานกลาง และคนส่วนใหญ่โง่เขลา แทนที่เราจะมองว่าระบบการศึกษาและการสอบถูกออกแบบให้ เป็ นแบบนี ้แต่ แรก การศึกษาสาธารณะมีความสาคัญสาหรับชนชั ้นปกครองในอีกด้ านหนึง่ นอกจากการทาให้ คนงานมีทกั ษะมากขึ ้น คือ ในระบบทุนนิยมคนส่วนใหญ่ต้องถูกสอนให้ เชื่อง จงรักภักดี และเชื่ อฟั งชนชั ้นปกครอง เพราะในระบบทุนนิยมการรวมตัว กันของคนหมู่มากในเมือง และการที่มีระบบการผลิตสมัยใหม่ ทาให้ ชนชั ้นกรรมาชีพมีอานาจซ่อนเร้ น คือถ้ ารวมตัวกันและ นัดหยุดงาน กบฏ หรื อปฏิวตั ิ ก็จะล้ มสังคมชนชั ้นได้ การศึกษาเป็ นดาบสองคมเสมอ มันเพิ่มประสิทธิภาพการทางานและ กาไรให้ นายทุน แต่ในมุมกลับใครที่ได้ การศึกษาดีๆ อ่านออกเขียนได้ ย่อมมีความมัน่ ใจในการคิดเองเป็ น และสามารถหา แหล่งความคิดที่ทวนกระแสได้ และสามารถสื่อสารกับคนที่ต้องการเปลี่ยนสังคมด้ วยความสะดวกสบาย ด้ วยเหตุนี ้ชนชั ้น ปกครองไม่ต้องการที่จะให้ เด็กทุกคน หรื อผู้ใหญ่ส่วนมาก มีการศึกษา “ดีเกินไป” เขาต้ องมีการกดให้ ระดับการศึกษาอยู่ใน ขั ้นพื ้นฐานด้ วยการสอบคัดเลือกให้ คนส่วนใหญ่ล้มเหลว เพราะนอกจากการศึกษาจะทาให้ คนมัน่ ใจที่จะเปลี่ยนสังคมและ คิดเองมากขึ ้นแล้ ว ยังทาให้ นกั เรี ยนที่จบออกมาตั ้งความหวังว่าตนเองจะมีชีวิตที่ดีด้วย และสาหรับคนส่วนใหญ่ความหวัง นั ้นจะจบด้ วยความผิดหวัง ความไม่พอใจ และความโกรธแค้ น ซึง่ เป็ นสถานการณ์ที่ชนชั ้นปกครองต้ องการหลีกเลี่ยง การเข้ าใจธาตุแท้ ของระบบการสอบ ทาให้ นกั ศึกษาในมหาวิทยาลัย เบอร์ คเล ในสหรัฐอเมริกาในยุคประท้ วงใหญ่ 45 ปี ก่อนหน้ านี ้ กดดันให้ มหาวิทยาลัยออกแบบหลักสูตรที่ไม่มีการสอบ แต่เมื่อกระแสกบฏลดลงหลักสูตรนี ้ก็หายไป ประเด็นสาคัญเกี่ยวกับระบบทุนนิยมอีกประเด็นหนึง่ ที่เราควรเข้ าใจคือ ทุนนิยมเป็ นระบบที่อาศัยการแข่งขันในตลาด ซึง่ นาไปสู่แนวโน้ มของการลดลงของอัตรากาไรและการผลิตล้ นเกิน วิกฤตเศรษฐกิจจึงเกิดขึ ้นในระบบทุนนิยมเป็ นประจา
และท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเรามักจะได้ ยินเสียงของนายทุนที่เรี ยกร้ องให้ รัฐบาลตัดงบประมาณ และประหยัดค่าใช้ จ่าย ต่างๆ รวมถึงการลดภาษีด้วย สภาพเช่นนี ้เป็ นแรงผลักดันให้ มีการศึกษาราคาถูก ที่เน้ นการท่องจาและยัดวิชาใส่หวั นักเรี ยนในห้ องเรี ยนขนาดใหญ่ โดยที่สามารถตัดเครื่ องมือการสอน จานวนครู และคุณภาพการศึกษาได้ ถ้ าจะเข้ าใจการศึกษาในระบบทุนนิยม
เราต้ องมองความขัดแย้ งที่ดารงอยู่เสมอระหว่างความต้ องการที่จะมีแรงงาน
ฝี มือที่มีทกั ษะสูง กับความต้ องการที่จะประหยัดค่าใช้ จ่ายของรัฐ มันไม่เคยเป็ นอันใดอันหนึง่ เท่านั ้น มันเป็ นสองสิ่งที่ ขัดแย้ งกันที่ดารงอยู่ด้วยกันท่ามกลางการพัฒนาของเทคโนโลจีและการขึ ้นลงของเศรษฐกิจเสมอ วิธีมองสังคมที่มีความ ขัดแย้ งแบบนี ้เรียกว่า “วิภาษวิธี” และการเชื่อมระบบการศึกษากับแต่ละยุคสมัยและผลประโยชน์นายทุนเราเรี ยกว่า “วัตถุ นิยมประวัติศาสตร์ ” ซึง่ สองวิธีการวิเคราะห์นี ้เป็ นหัวใจของแนวคิดมาร์ คซิสต์ จะเห็นได้ ว่าการศึกษาในระบบทุนนิยม
ไม่ได้ ถกู ออกแบบเพื่อพัฒนาความเป็ นมนุษย์ของพลเมืองทุกคน
แต่ถกู
ออกแบบเพื่อประโยชน์ของนายทุนเป็ นหลัก แต่แน่นอนนายทุนไม่สามารถควบคุมผลที่เกิดขึ ้นตลอดไป สาเหตุสาคัญที่ชน ชั ้นนายทุนไม่ได้ ควบคุมสถานการณ์อย่างเบ็ดเสร็จ นอกจากเรื่ องพลวัตความขัดแย้ งระหว่างความต้ องการที่จะมีแรงงาน ฝี มือที่มีทกั ษะสูง กับความต้ องการที่จะประหยัดค่าใช้ จ่ายของรัฐแล้ ว ยังมีอีกปะเด็นที่สาคัญมากคือ ระบบการศึกษาและ ทุกระบบในสังคมประกอบไปด้ วย “คน” และคนสามารถคิดเองเป็ น ดังนั ้นบ่อยครัง้ จะเกิดครูที่ต้องการสอนนักเรี ยนใน ลักษณะก้ าวหน้ าปลดแอก ไม่ใช่สอนไปเพื่อให้ เด็กรับใช้ เจ้ านายในอนาคต และบ่อยครัง้ จะเกิดนักเรี ยนที่กบฏ ชอบตั ้ง คาถาม และท้ าทายกระแสหลัก นี่คือความหวังสาหรับเราในทุกยุคทุกสมัย แต่เราไม่ควรลืมคาของมาร์ คซ์ว่า “มนุษย์เป็ นผู้ เปลี่ยนและสร้ างโลก แต่ไม่ได้ กระทาในบริบทที่ตนเองเลือก” นั ้นคือสาเหตุที่เราต้ องทั ้งสนับสนุนการกบฏของปั จเจก และ การรณรงค์เพื่อเปลี่ยนโครงสร้ างการศึกษาและโครงสร้ างสังคมพร้ อมกัน ในระบบทุนนิยมเราอาจพูดได้ ว่ามันเป็ นการศึกษาเพื่อกดขี่ขูดรี ดคนส่วนใหญ่ มันเป็ นการศึกษาเพื่อผู้กดขี่ แต่ในสังคม นิยมที่เราจะสร้ างในอนาคต การศึกษาต้ องถูกออกแบบโดยคนส่วนใหญ่ ที่ขึ ้นมามีอานาจในแผ่นดินร่วมกันในสังคม เพื่อ พัฒนาความเป็ นมนุษย์พเิ ศษของพลเมืองแต่ละคน และในช่วงทางผ่านหรื อช่วงที่เราต้ องสู้กบั ทุนนิยมและชนชั ้นปกครอง เราต้ องผลักดันการศึกษาสาหรับผู้ถกู กดขี่ให้ มากที่สดุ เพื่อสร้ างทักษะในการกาหนดอนาคตของตนเองและการต่อสู้ทาง ชนชั ้น ในประสบการณ์เล็กๆ น้ อยๆ ของผู้เขียน ขณะที่เป็ นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ผู้เขียนและอาจารย์แนวร่วมบางคน พยายามเสนอให้ นิสติ นักศึกษาหัดเขียนเรี ยงความในเชิงโต้ แย้ งเสมอ คือต้ องศึกษาอย่างน้ อยสองมุมมองทางการเมืองที่ ขัดแย้ งกันและตรงข้ ามกัน ต้ องอ่านงานของคนที่ไม่เห็นด้ วย และคนที่เห็นด้ วย และต้ องเลือกข้ างผ่านการวิจารณ์และ หักล้ างความคิดที่ตนไม่เห็นด้ วย
แค่โครงการขนาดย่อยแบบนี ้ก็เผชิญหน้ ากับอุปสรรค์มากมายที่มาจากอาจารย์กระแส
หลัก เพราะในมหาวิทยาลัยไทย โดยส่วนใหญ่แล้ วจะมีวฒ ั นธรรมที่นิสิตนักศึกษาต้ องเขียนเรี ยงความเพื่อเอาใจแนวคิด ของอาจารย์แต่ละคน หรื อไม่ก็เขียนในทานนองบรรยายที่ไม่เลือกข้ างและไม่ถกเถียง ยิ่งกว่านั ้นเจ้ าหน้ าที่และอาจารย์ส่ วน ใหญ่ที่คมุ ห้ องสมุดจะมองว่าการแต่งกายของนักศึกษาสาคัญกว่าการอ่านหนังสือ
จึงมีการระบุห้ามใส่รองเท้ าแตะเข้ า
ห้ องสมุดเป็ นต้ น แต่ในมุมตรงข้ ามผู้เขียนมักจะพบนักเรี ยนบางคน ที่คิดเองเป็ นและมีความสามารถเป็ นเลิศในการอ่านกับ การพิจารณาปั ญหาในเชิงโต้ แย้ งด้ วย นั ้นคือสิ่งที่ทาให้ งานสอนสร้ างความสุขให้ ผ้ เู ขียน เมื่อเราเสนอ “การศึกษาสาหรับผู้ถกู กดขี่” หรื อการศึกษาก้ าวหน้ าเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ เราต้ องการเห็นมันเป็ นส่วน หนึง่ ของรัฐสวัสดิการ
และเราจะรณรงค์เรี ยกร้ องและกดดันให้ โรงเรี ยนรัฐปฏิรูปการศึกษาไปในทิศทางนี ้สาหรับคนส่วน
ใหญ่ เราจะไม่ใช้ แนวคิด เอ็นจีโอ ที่เคยตั ้งโรงเรี ยน “ตัวอย่าง” สาหรับคนกลุ่มน้ อย และหันหลังให้ รัฐ เพราะมันไม่นาไปสู่ การปฏิรูปการศึกษาสาหรับคนส่วนใหญ่เลย และในกรณีไทยนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ ที่เคยตั ้งโรงเรี ยนตัวอย่างดังกล่าว ได้ แสดงธาตุแท้ ของแนวคิด โดยเข้ าไปเป็ นแกนนาของพันธมิตรฯ เสื ้อเหลือง ที่เรี ยกร้ องให้ ทหารทารัฐประหาร และที่ดถู กู คน ส่วนใหญ่ที่เป็ นเสื ้อแดงว่า “โง่” นั ้นคือสิ่งตรงข้ ามกับปรัชญาการศึกษาสาหรับผู้ถกู กดขี่ที่จะทาให้ ผ้ ถู กู กดขี่ปลดแอกตนเอง ได้
วิเครำะห์ ปัญหำระบบกำรศึกษำไทยผ่ ำนงำนของ เพำโล แฟรรี ใจ อึ๊งภำกรณ์ และ เนติวทิ ย์ โชติภทั ร์ ไพศำล1
เพาโล แฟรรี (Paulo Freire) เป็ นนักเคลื่อนไหวฝ่ ายซ้ ายและนักคิดสาย “ศึกษาธิการ” ชาวบราซิลที่เสนอทฤษฏีก้าวหน้ า เรื่ องระบบการศึกษาในหนังสือ “การเรี ยนรู้ของผู้ถกู กดขี่”(Pedagogy of the Oppressed) เขาเกิดในปี 1921 และสัมผัส ความยากลาบากของวิกฤตเศรษฐกิจ 1930 เขาได้ รับอิทธิพลจาก “แนวคริสเตียนปลดแอก” ในลาตินอเมริกาและทางาน ด้ านการศึกษาในบราซิล ในปี 1964 ทหารทารัฐประหารและ แฟรรี ถกู จาคุก 70 วัน หลังจากนัน้ เขาไปทางานที่องค์กรณ์ FAO ของสหประชาชาติในประเทศชิลี และในปี 1969 แฟรรี มีโอกาสไปสอนที่มหาวิทยาลัยฮาร์ วาร์ ดสหรัฐอเมริกา ใน ที่สดุ ในปี 1980 เขากลับไปอยู่บราซิลและสมัครเป็ นสมาชิกพรรคแรงงาน แฟรรี เสียชีวติ ในปี 1997 ในหนังสือ “การเรี ยนรู้ของผู้ถกู กดขี่” ซึง่ ออกมาในปี 1970 แฟรรี เริ่มต้ นในการทาความเข้ าใจกับสภาพการกดขี่และถูก กดขี่ในสังคมชนชั ้น ต่อจากนั ้นเขาเขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่างครูกบั นักศึกษาในสังคมทุนนิยมโดยมองว่าบ่อยครัง้ ครูอยู่ ในสภาพ “ผู้กดขี่” นักศึกษา การเรี ยนรู้ที่แท้ จริงสาหรับ แฟรรี เป็ นสิ่งเดียวกับการแสวงหาเสรี ภาพ แฟรรี เสนอวิธีการเรี ยนรู้ใหม่สาหรับผู้ใหญ่ กรรมกร เกษตรกร และนักศึกษาในโรงเรี ยน นอกจากนี ้เขาจะพิจารณา การศึกษาท่ามกลางการสร้ างองค์กรปฏิวตั ิ เป้ าหมายโดยรวมของเขาคือการพยายามชักชวนให้ มนุษย์พฒ ั นาตนเองให้ เป็ น มนุษย์เสรีที่มีความเป็ นมนุษย์สมบูรณ์
1
บทความนี ้ตีพมิ พ์ครังแรกใน ้ วารสาร “การศึกษาปริ ทศั น์” ฉบับแรกเดือนธันวาคม ๒๕๕๖
แนวคิดเรื่ องการศึกษาของ เพาโล แฟรรี มองโลกแบบองค์รวม และเป็ นการกระตุ้นให้ เราคิดถึงการพัฒนาการศึกษา และการเปลี่ยนสังคมในประเทศไทย
“กำรเรียนรู้ของผู้ถูกกดขี่” โดย เพำโล แฟรรี 2 “มนุษย์ไม่ค่อยกล้ าสารภาพว่ากลัวเสรี ภาพ แต่มกั จะปกปิ ดความกลัวนี ้ (อาจจะไม่ตั ้งใจ) โดยการอ้ างว่าตัวเองเป็ นผู้ ปกป้ องเสรี ภาพ อย่างไรก็ตามเขาเหล่านั ้นสับสนระหว่างเสรี ภาพกับการยึดมัน่ ในสภาพสังคมแบบปั จจุบนั คนที่ก้าวหน้ ามักจะเดินหน้ าสู่ความจริงเพื่อเรี ยนรู้ เกี่ยวกับความจริงนั ้น
และลงมือปฏิวตั ิเพื่อที่จะนาไปสูก่ าร
เปลี่ยนแปลง เขาจะไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ า ฟั ง หรื อ เห็นลักษณะของโลกและเขาจะไม่กลัวการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น
ผู้กดขี่ กับ ผู้ถูกกดขี่ ในทุกยุคทุกสมัยมนุษย์จะต้ องเลือกระหว่างการพัฒนาความเป็ นมนุษย์กบั การทาลายความเป็ นมนุษย์ ความเป็ นมนุษย์ ถูกปฏิเสธตลอดด้ วยความอยุติธรรม การขูดรี ด การกดขี่ และ ความรุนแรงของผู้กดขี่ แต่การปฏิเสธความเป็ นมนุษย์อนั นี ้ เพียงแต่พิสจู น์ว่าภาระกิจของประชาชนจะต้ องเป็ นการพัฒนาความเป็ นมนุษย์ของทุกคนในโลก
การต่อสู้กบั สภาพที่
ทาลายความเป็ นมนุษย์เป็ นไปได้ เสมอเพราะสภาพนี ้ไม่ได้ เป็ นเรื่ องของเวรกรรมที่ถูกกาหนดมาแต่อย่างใด ความพยายามของคนที่ต้องการทาให้ อานาจของผู้กดขี่อ่อนลงเพราะสงสารผู้ถกู กดขี่ ที่ออ่ นแอ เมตตาจอมปลอมและมันก็จะหยุดอยู่แค่นั ้น เมตตาเสมอ
เพียงแต่เป็ นความ
ผู้กดขี่มกั จะต้ องปกป้ องสังคมที่อยุติธรรมเพื่อสร้ างภาพว่าตนเองมีความ
การปลดแอกที่แท้ จริงต้ องเป็ นการกระทาของผู้ถกู กดขี่เอง
แต่ผ้ ถู กู กดขี่ไม่ได้ มีเกราะป้ องกันตัวจาก
แนวความคิดของผู้มีอานาจที่อยูเ่ บื ้องบน เพราะบ่อยครัง้ จะกลืนความคิดของผู้กดขี่เข้ าไปในร่างของตนเอง
สิ่งเหล่านี ้
นาไปสู่การกลัวเสรี ภาพแท้ ซึง่ อาจจะทาให้ เขาอยากจะก้ าวขึ ้นมาเป็ นผู้กดขี่ผ้ อู ื่นแทนหรื อนาไปสู่การปิ ดหูปิดตาถึงการที่ เขาถูกกดขี่แต่แรก เสรี ภาพเกิดขึ ้นจากการเอาชนะมันไม่ได้ เป็ นของขวัญที่คนอื่นยกให้ ได้
ผู้ถกู กดขี่จะเริ่มต่อสู้เพื่ อเสรี ภาพได้ ก็ต่อเมือ
ปฏิเสธแนวคิดของผู้มีอานาจและนาความเป็ นตัวของตัวเองและความรับผิดชอบของแต่ละคนมาแทนที่
เขาจะต้ อง
วิเคราะห์สาเหตุของการถูกกดขี่ด้วย เพื่อที่จะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลง.... อย่างไรก็ตามผู้ถกู กดขี่มีความขัดแย้ งในตัวเอง
2
สรุปความจากหนังสือ 149 หน้ า http://www.users.humboldt.edu/jwpowell/edreformFriere_pedagogy.pdf
คือจะเข้ าใจว่าเสรี ภาพเท่านั ้นที่จะไปสู่การมีตวั ตนอย่างแท้ จริงซึง่ เป็ นสิ่งที่เขาต้ องการแต่ในขณะเดียวกันเขามักจะกลัวสิ่ง นั ้นพร้ อมกัน ความกลัวที่วา่ นี ้มาจากการขาดความมัน่ ใจในตนเอง การเรี ยนรู้ของผู้ถกู กดขี่จะต้ องถูกสร้ างขึ ้นมาโดยผู้ถกู กดขี่ เอง ไม่ใช่เพื่อคนที่ถกู กดขี่ และหัวใจของการเรี ยนรู้แบบนี ้คือ การวิเคราะห์และสะท้ อนในเรื่องสภาพการกดขี่และสาเหตุของมัน แต่ผ้ ถู ูกกดขี่จะมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แบบนี ้ได้ อย่างไร? จุดเริ่มต้ นที่สาคัญคือการทาความเข้ าใจว่าตัวเองกลืนแนวความคิดของผู้มีอานาจเบื ้องบนเข้ าไปในร่างของตัวเอง การต่อสู้ กับความขัดแย้ งในตัวแบบนี ้จะเกิดขึ ้นจากการสอนในนามธรรมไม่ได้ มนั ต้ องเกิดขึ ้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ การพูด ว่ามนุษย์ควรจะมีเสรี ภาพเสร็จแล้ วไม่ลงมือทาอะไรเพื่อเปลี่ยนโลกจึงเป็ นเรื่ องตลก เนื่องจากสภาพความขัดแย้ งระหว่างผู้ถกู กดขี่และผู้กดขี่เป็ นเรื่ อง “ภาวะวิสยั ” คือ มันเป็ นความจริงที่จบั ต้ องได้ มัน จะต้ องมีการเปลี่ยนแปลงในรูปธรรม แต่เราจะไม่ประณามหรื อลดความสาคัญของ “อัตวิสยั ” ความเข้ าใจนึกคิดของมนุษย์ แต่ละคนนัน่ เอง อัตวิสยั และภาวะวิสยั เป็ นสิ่งที่อยู่ควบคู่กนั ตลอดเวลา แยกออกจากกันไม่ได้ คนที่ปฏิเสธความสาคัญ ของอัตวิสยั เป็ นเพียงคนที่ฝันถึงโลกที่ไร้ มนุษย์ การเรี ยนรู้ของผู้ถกู กดขี่ไม่ใช่เรื่ องของการอธิบายปั ญหาต่างๆให้ คนอื่นฟั ง
แต่เป็ นเรื่ องของการถกเถียงแลกเปลี่ยน
ระหว่างบุคคล การเรี ยนรู้แบบนี ้จะล้ มเหลวโดยสิ ้นเชิงถ้ ามองว่าผู้ถกู กดขี่เป็ นคนที่น่าสงสารอ่อนแอหรื อเสียเปรียบ เพราะ นัน่ เป็ นการลอกแบบความคิดของผู้มีอานาจหรื อผู้กดขี่ ในขั ้นตอนแรกการเรี ยนรู้ของผู้ถกู กดขี่จะต้ องเป็ นการเปิ ดโปงโลกแห่งการกดขี่ผ่านการปฏิบตั ิและการตั ้งใจที่จะเปลี่ยน สังคม มันจะต้ องกล่าวถึงปั ญหาจิตสานึกของผู้ถกู กดขี่และผู้กดขี่ มันต้ องศึกษากิ ริยาความประพฤติมมุ มองและศีลธรรม ของคนเหล่านั ้น ในสถานการณ์ที่ “ก” ขูดรีด “ข” หรื อสร้ างอุปสรรคในการที่ “ข” จะพัฒนาตนเองและรับผิดชอบ เราต้ อง ถือว่าเป็ นการกดขี่และเป็ นการใช้ ความรุนแรงด้ วย ความรุนแรงมาจากผู้ที่กดขี่ผ้ อู ื่น ผู้ที่ขดู รี ดผู้อื่น และ ผู้ที่มองว่าคนอื่น ไม่ใช่มนุษย์ ผู้มีอานาจที่อยู่เบื ้องบนจะมองเสมอว่าพวกข้ างล่างเป็ นคนป่ าเถื่อน คนรุนแรง หรื อคนชัว่ การมองว่าคนอื่น ไม่ใช่มนุษย์เป็ นการกระทาที่ทาลายความเป็ นมนุษย์ของผู้มีอานาจเองด้ วย ดังนั ้นเราสามารถสรุปได้ วา่ การต่อสู้ของคนที่ อยู่ข้างล่างเป็ นการปลดแอกมนุษย์ทกุ คน ถ้ าปั จเจกบางคนที่มาจากชนชั ้นสูงลงมาต่อสู้ร่วมกับผู้ถกู กดขี่เพื่อเสรี ภาพ
ซึง่ เป็ นสิ่งที่เกิดขึ ้นในทุกยุคทุกสมัย คน
เหล่านี ้จะต้ องระมัดระวังมากเพื่อไม่ให้ มีมมุ มองประเภทที่เขาคิดว่าเขามาช่วยคนที่ด้อยโอกาสกว่าตนเอง หรื อ มาช่วยคน ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะถ้ าเขาคิดว่าเขาเป็ นพี่เลี ้ยงที่จะมาช่วยผู้ถกู กดขี่เขาจะไม่ไว้ ใจมวลชน
ผู้ที่ต้องการต่อสู้เพื่อ
เสรี ภาพและความเป็ นมนุษย์ที่แท้ จริงต้ องไว้ ใจ มัน่ ใจ และ ให้ เกียรติว่ามวลชนสามารถปลดแอกตนเองได้ อย่างไรก็ตามเวลาเราไว้ ใจมวลชน เราต้ องไม่ซื่อเกินไปจนลืมว่าในมนุษย์ทกุ คน มีความคิดของผู้กดขี่ฝังอยู่ ซึง่ จะแสดง ตัวในความคิดของเขาเป็ นบางครัง้ บางคราวเสมอ เราต้ องร่ วมกันค้ นหาความคิดแบบนี ้และถกเถียงกับมัน
คนที่เข้ าร่ วมกระบวนการต่อสู้เพื่อเสรี ภาพจะต้ องเกิดใหม่
เขาอยู่แบบเดิมไม่ได้ และการเกิดใหม่นี ้ทาได้ ผ่านมิตรภาพ
ในหมู่นกั ต่อสู้พร้ อมกับการมีชีวิตร่วมกับเขา ผู้ถกู กดขี่จะต้ องเข้ าใจและสลัดความคิดที่ประเมินตัวเองต่าเกินไป ต้ องไม่ ถ่อมตัว
เพราะความคิดแบบนี ้หรื อการยกยอผู้มีอานาจเพราะหลงเชื่อว่าคนเหล่านั ้นมีความสามารถพิเศษเป็ นลักษณะ
ของการกดขี่ บ่อยครังคนธรรมดาจะพู ้ ดว่าตัวเองโง่และท่านศาสดาจารย์เป็ นผู้มีความรู้ เป็ น “ผู้ร้ ู” และเราควรจะฟั งเขา ในกลุ่มศึกษาหนึง่ เคยมีเกษตรกรคนหนึง่ พูดขึ ้นมาว่า “ทาไมคุณครูไม่อธิบายภาพรวมให้ เราเห็น มันจะได้ ไม่เสียเวลาและ เราจะได้ ไม่ปวดหัว”
แต่เกษตรกรที่มีความคิดแบบนั ้น
ไม่เข้ าใจว่าเขาเองก็ร้ ูหลายอย่างผ่านประสบการณ์ในชีวิตจริง
ยิ่งกว่านั ้นผู้ถกู กดขี่จะต้ องสามารถเห็นจุดอ่อนของผู้ที่กดขี่เขาด้ วย
เพราะการจับจุดอ่อนของผู้มีอานาจจะนาไปสู่ความ
มัน่ ใจในการต่อสู้ การค้ นพบลักษณะการกดขี่ การสร้ างความมัน่ ใจในตนเอง และการเปิ ดโปงจุดอ่อนของผู้มี่อานาจ จะต้ องเกิดขึ ้นท่ามกลางการถกเถียงแลกเปลี่ยนหรื อเสียงสะท้ อนต่างๆ ในหมู่คนที่เรี ยนรู้ร่วมกันและที่สาคัญคือ ผู้ถกู กดขี่ จะต้ องมองว่าเป้ าหมายในการการเรี ยนรู้คือการพัฒนาตนเองให้ เป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์ การปฏิบตั ิในเรื่ องการเรี ยนรู้ในรูปแบบนี ้
ต้ องกระทาบนพื ้นฐานการไว้ ใจคนที่ถกู กดขี่วา่ มีความสามารถในการใช้
เหตุผล และจะต้ องระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ให้ ผ้ ถู กู กดขี่พงึ่ พาผู้ที่เขามองว่าเป็ นผู้ร้ ู โดยไม่มกี ารเปิ ดโปงว่าการพึง่ พาแบบนี ้ คือจุดอ่อน อย่างไรก็ตามการเป็ นตัวของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมอบให้ ได้ มนั ต้ องทาเอง การปฏิวตั ิเป็ นการเรี ยนรู้ในตัวเอง เราคงเข้ าใจดีวา่ ถ้ าจะมีการปฏิวตั ิเพื่อปลดแอกมนุษย์ผ้ ทู ี่ถกู กดขี่จะต้ องเข้ าร่ วมใน กระบวนการนี ้ แต่สิ่งที่บางคนอาจจะมองข้ ามคือการเข้ าร่วมในกระบวนการปฏิวตั ิ ต้ องหมายถึงการที่แต่ละคนเข้ าใจว่า ตนเองต้ องรับผิดชอบในการต่อสู้ไม่ใช่ไปพึง่ พาคนอื่นหรื อผู้นา การปฏิวตั ิและการเรี ยนรู้เพื่อเสรีภาพกระทาผ่านแกนนาที่ ทาตัวเป็ นครูและสัง่ สอนลูกศิษย์ไม่ได้ ทั ้งครูและนักเรี ยนจึงต้ องร่วมกันเรียนรู้เพื่อสร้ างองค์ความรู้ ใหม่ ควำมสัมพันธ์ ระหว่ ำงครู กับนักเรี ยนและระบบกำรศึกษำเพื่อเสรี ภำพ ถ้ าเราวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างครูกบั นักเรี ยนในโรงเรี ยนในยุคปั จจุบนั เราจะเห็นว่ามันเป็ นกระบวนการสัง่ สอน คือ ครูสอนและนักเรี ยนนัง่ ฟั ง
ในสภาพเช่นนี ้เนื ้อหาของการศึกษากลายเป็ นสิ่งที่ไร้ ชีวติ หรื อเป็ นฟอสซิล ครูจะพูดเกี่ยวกับ
ความจริงเหมือนกับว่ามันนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงและแยกส่วนได้ บ่อยครัง้ เขาจะพูดถึงเรื่องที่นกั ศึกษามองว่าห่างเหินจากชีวิต จริงของเขา หน้ าที่ของครูในระบบแบบนี ้คือการ “อัดวิชา” ใส่นกั ศึกษา โดยที่ไม่สนใจโลกจริงและไม่สนใจว่าแต่ละประเด็น ที่อยู่ในหลักสูตรเชื่อมโยงกันอย่างไรในภาพรวม
เพราะการเชื่อมโยงและการสร้ างภาพรวมแบบนั ้นจะทาให้ สิ่งที่เรี ยนรู้มี
ความสาคัญมากขึ ้นสาหรับนักศึกษาและกระตุ้นให้ เขาคิดเอง เราคงเข้ าใจดีว่าผู้มีอานาจชอบ “แบ่งแยกคนเพื่อปกครอง” แต่อีกแง่หนึง่ ของเรื่ องนี ้คือการปกปิ ดความจริงของโลก ด้ วยการแบ่งแยกเรื่ องต่างๆ เป็ นส่วนๆ ที่ไม่เชื่อมโยงกัน ระบบการศึกษากระแสสหลักแบบนี ้มองว่านักศึกษาเป็ นเพียงภาชนะที่จะถูกเติมเต็มโดยครู
ยิ่งเติมเต็มได้ แค่ไหน
นักเรี ยนก็ยิ่งประสบความสาเร็จมากยิ่งขึ ้น นี่คือระบบการศึกษาแบบ “ฝำกธนำคำร” ความรู้กลายเป็ นของขวัญที่ผ้ รู ้ ูให้ กบั
ผู้ที่ไม่ร้ ูเรื่ องอะไรเลย ครูกลายเป็ นสิ่งตรงข้ ามกับนักศึกษา การที่นกั ศึกษา “ไม่ร้ ูอะไร” กลายเป็ นข้ ออ้ างในการมีครูหรื อ ความสาคัญของครู และนักศึกษาก็จะไม่ค้นพบว่าเขาก็มีบทบาทในการให้ การศึกษากับครูก็ได้ นักศึกษายิ่งขยันทางานรับความรู้เข้ าหัวตัวเองมากแค่ไหน
เขาจะยิ่งหมดสภาพในการใช้ สมองเพื่อตั ้งคาถามและ
วิเคราะห์โลกเท่านั ้น และเขาจะยิ่งอ่อนแอที่ในการที่จะเปลี่ยนแปลงโลกมากขึ ้น เขาจะปรับตัวให้ เข้ ากับสภาพสังคมที่ดารง อยู่ ระบบการศึกษาแบบ “ฝากธนาคาร” สร้ างประโยชน์ให้ กบั ผู้กดขี่มหาศาลเพราะทาลายความสามารถในการคิดเองและ การออกมาเปลี่ยนแปลงโลกเองของนักศึกษา ซึง่ นาไปสู่การปกครองคนที่เชื่องและจงรักภัคดีและที่แย่ที่สดุ คือนาไปสู่การ ทาลายความเป็ นมนุษย์ของนักศึกษา ครูที่ใช้ ระบบการศึกษาแบบ “ฝากธนาคาร” บ่อยครัง้ เป็ นคนที่หวังดีและไม่ร้ ูตวั ว่ากาลังทาอะไรอยู่ เขาไม่เห็นว่าภาชนะ ที่เขาพยายามเติมเต็มนั ้นเต็มไปด้ วยความขัดแย้ งในตัวเอง ในที่สดุ ความขัดแย้ งนั ้นอาจจะระเบิดออกมาในการที่นกั ศึกษา ที่เคยเชื่อฟั งกลายเป็ นนักศึกษาที่กบฎ
แต่ผ้ ทู ี่ส่งเสริมระบบการศึกษาเพื่อเสรี ภาพรอให้ การกบฎเกิดขึ ้นเองไม่ได้ เขา
จะต้ องรณรงค์ให้ นกั ศึกษาคิดเองวิจารณ์และร่วมต่อสู้เพื่อพัฒนาความเป็ นมนุษย์ ของเขา
การศึกษาแบบนี ้จะต้ อง
พยายามจัดการกับความขัดแย้ งระหว่างสถาณภาพครูกบั สถาณภาพนักศึกษา ครูกบั นักศึกษาต้ องเป็ นผู้ร่วมศึกษาด้ วยกัน แทน ระบบการศึกษาแบบ “ฝากธนาคาร” จะสร้ างภาพว่าคน “อยู่ในโลก”ไม่ใช่ว่าคน “อยู่กบั โลก” และจะสร้ างภาพว่ามนุษย์ ปั จเจกบุคคลกลายเป็ นเพียง “ผู้สงั เกตุการณ์” ไม่ใช่ “ผู้กระทา” ถ้ าเราจะใช้ การเรี ยนรู้เพื่อเสรี ภาพเราต้ องทาความเข้ าใจเกี่ยวกับวิธีการทดสอบความรู้
การสอบในระบบการศึกษา
กระแสหลักมีบทบาทสาคัญในการทาลายความสามารถในการคิดเองของนักศึกษา มันไม่ใช่การทดสอบความรู้และความ เข้ าใจโลกจริง แค่ทดสอบว่าเป็ นนักศึกษาเป็ นภาชนะที่ดีของสิ่งที่ครูยดั ให้ เท่านั ้น ครูไม่สามารถจะคิดแทนนักศึกษาและไม่สามารถที่จะบังคับให้ นกั ศึกษาคิดเหมือนเขา ความคิดและความเข้ าใจจะต้ อง มาจากโลกจริงและการปฏิบตั ิ
บ่อยครัง้ คนที่ต้องการสร้ างเสรี ภาพในระบบการศึกษาได้ รับอิทธิพลจากสังคมรอบตัวที่มี
การกดขี่ จึงมองไม่เห็นข้ อเสียของการศึกษาแบบ “ฝากธนาคาร” ที่ทาลายความเป็ นมนุษย์ แต่เราสอนให้ คนกระตือรื อร้ น เพื่อที่จะปลดแอกตนเองไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะยัดใส่หวั คนได้ มันเป็ นสิ่งที่ทกุ คนจะต้ องเรี ยนรู้เองผ่านการปฏิบตั ิ หัวใจของการเรี ยนรู้ของผู้ถกู กดขี่ คือการตั ้งประเด็นปั ญหาและความพยายามในการแก้ ปัญหาร่วมกัน แทนที่จเราจะ มองว่ามีครูกบั นักเรี ยน เราจะต้ องคิดใหม่ คือมี “ครู-นักเรี ยน” และ “นักเรี ยน-ครู” ครูไม่ได้ เป็ นเพียงคนที่สอนคนอื่นแต่จะ เป็ นผู้ที่ถกู สอนผ่านการถกเถียงแลกเปลี่ยนกับนักเรี ยนด้ วยและนักเรี ยนจะทั ้งเรี ยนรู้และสอนผู้อื่นพร้ อมกัน
ทุกฝ่ าย
รับผิดชอบในกระบวนการพัฒนา จะไม่มีใครที่สอนผู้อื่นหรื อผู้ที่เรี ยนรู้ด้วยตนเอง คนจะสอนซึง่ กันและกัน การตั ้งประเด็นปั ญหาและการพยายามแก้ ปัญหา ทาให้ ทกุ คนจาต้ องคิดวิเคราะห์และสะท้ อน ครูอาจจะตั ้งประเด็น เพื่อให้ นกั ศึกษาพิจารณา
แต่ต้องพร้ อมที่จะเปลี่ยนหรื อพัฒนาทัศนะความคิดท่ามกลางการแสดงออกของนักศึกษา
นักศึกษาเมื่อถูกตั ้งประเด็นปั ญหาที่เกี่ยวข้ องกับตัวเขาเองและโลกรอบตัวจะถูกท้ าทายมากขึ ้นและจะต้ องโต้ ตอบการท้ า ทายดังกล่าว และการที่เขาเข้ าใจประเด็นปั ญหาว่าเกี่ยวโยงกับประเด็นอื่นๆ ในภาพรวม คือมันไม่ใช่เรื่องทฤษฎีใน นามธรรม จะพัฒนาตนเองไปสูค่ วามเข้ าใจที่เต็มไปด้ วยการตั ้งคาถามและการวิเคราะห์และมันจะไม่ห่างเหินจากชีวิตของ นักเรี ยน การโต้ ตอบสิ่งที่ท้าทายนักเรี ยนจะนาไปสูก่ ารท้ าทายในระดับต่อไปเรื่ อยๆ และจะทาให้ นกั ศึกษารับผิดชอบกับ การศึกษาของตนเองมากขึ ้น ระบบการศึกษาสาหรับผู้ถกู กดขี่ที่ใช้ วิธีการการตั ้งประเด็นปั ญหา จะนาไปสู่การมองโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั ้ง ครูและนักศึกษาจะมองตนเองและโลกรอบตัวโดยไม่แยกส่วน ระบบการศึกษาแบบนี ้ ยืนยันว่ามนุษย์อยู่ในกระบวนการที่ กาลังพัฒนาไม่ใช่ว่ามนุษย์สมบูรณ์มาแต่แรก มันเป็ นมุมมองที่ปฏิเสธเรื่ องเวรกรรมหรื อสิ่งที่ถกู กาหนดมาที่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้ แต่ระบบการศึกษากระแสหลักมักจะเน้ นในเรื่ องที่ถกู กาหนดมาและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ การศึกษาแบบตั ้งประเด็นปั ญหาเป็ นประโยชน์กบั ผู้มีอานาจที่กดขี่ผ้ อู ื่นไม่ได้ เลย เพราะผู้มีอานาจไม่อยากให้ ประชาชน ตั ้งคาถามว่า “ทาไม?” สังคมที่เต็มไปด้ วยความเป็ นเผด็จการ มักจะมีโรงเรี ยนและมหาวิทยาลัยที่ไม่มีเสรี ภาพ แม้ แต่ครอบครัวในสังคมแบบนี ้ จะมีการกดขี่ ทั ้งนี ้เพราะโรงเรี ยน มหาวิทยาลัย และครอบครัว เป็ นส่วนหนึง่ ของสังคม และได้ อทิ ธิพลจากสังคมนั ้นเสมอ และบ่อยครัง้ ผู้ที่ผ่านการศึกษามาในรูปแบบนี ้ก็จะไปกดขี่และผลิตซ ้าสภาพเผด็จการเมื่อจบออกมาและเข้ าไปทางาน กลุ่มศึกษำ การเรี ยนรู้เพื่อปลดแอกมนุษย์ต้องเป็ นกิจกรรมรวมหมู่ ทาคนเดียวไม่ได้ คนคนหนึง่ คิดแทนผู้อื่นไม่ได้ และเขาคิดอย่าง จริงจังไม่ได้ ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่รอบข้ าง ในลักษณะเดียวกันคนอื่นคิดแทนเขาไม่ได้ คนในกลุม่ ศึกษาต้ องคิด ถกเถียง สะท้ อน และพัฒนาความคิดด้ วยกันเสมอ บทบาทของ “ครู” หรื อ “แกนนา” ในขบวนการปฏิวตั ิ คือเป็ นผู้นาเสนอประเด็นปั ญหา เพื่อให้ สมาชิกกลุม่ ศึกษาค้ นหา ความหมายและทางออกให้ ลกึ ลงไป หลังจากนั ้นผู้ที่เป็ นครูควรฉายภาพการนึกคิดของ “นักเรี ยน” กลับไปสู่เขา เพื่อตั ้ง ประเด็นปั ญหาเพิ่ม ครูมีหน้ าที่ประสานการเรี ยนรู้ และบางครัง้ อาจเสนอทิศทางได้ แต่ไม่ควรสอนแบบ “ยัดความรู้” จากมุมมองตนเองใส่ผ้ ู ร่วมเรี ยน ในกลุม่ ศึกษาแห่งหนึ่งที่เมืองแซนทิอาร์ โก้ ครูต้องการให้ ผ้ รู ่วมศึกษาพิจารณาเรื่ อง “สุรา” จึงนาภาพคนเมาเดินตาม ถนนมาให้ กลุ่มดู ในภาพนั ้นมีวยั รุ่นสามคนยืนคุยกันตรงมุมถนนด้ วย ปรากฏว่ากรรมกรในกลุ่มศึกษาเสนอว่า ในภาพคนที่ ทางานและผลิตสิ่งที่เป็ นประโยชน์คือคนเมา“เขาเหมือนพวกเรา” เขาทางานมาทั ้งวันและได้ ค่าจ้ างต่า เขากังวลว่าจะเลี ้ยง ครอบครัวได้ อย่างไร เขาเลยกินเหล้ า... ซึง่ การเริ่มต้ นแบบนี ้เป็ นมุมมองที่ครูไม่ได้ คาดหมายมาก่อน เป็ นการเปิ ดประเด็น
เรื่ องสุราในลักษณะใหม่ที่ไม่พพิ ากษาคนดื่มเหล้ า และนาไปสู่การพิจารณาประเด็นทางสังคมอื่นๆ นอกจากสุรา ที่ เชื่อมโยงกันเป็ นภาพรวม อีกตัวอย่างหนึง่ คือการตั ้งคาถามว่า “ทาไมหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ เสนอข่าวในมุมมองที่แตกต่างกัน ในเมื่อมันเป็ นการ รายงานข่าวชิ ้นเดียวกัน?” เลนินเคยพูดว่า ถ้ าไม่มีทฤษฏีการปฏิวตั ิ จะมีขบวนการปฏิวตั ิไม่ได้ มันหมายความว่าการปฏิวตั ิต้องมาจากการรวม ความคิดและทฤษฏีเป็ นหนึง่ กับการปฏิบตั ิ มันเป็ นสิ่งที่เรี ยกว่า “Praxis” คือการปฏิบตั ิและนึกคิดพร้ อมกัน เราจะเป็ นนัก ปฏิบตั ิอย่างเดียว หรื อนักทฤษฏีอย่างเดียวไม่ได้ การเรี ยนรู้เพื่อปลดแอกตนเองต้ องใช้ วิธีนี ้ ซึง่ แปลว่าต้ องมีการแลกเปลี่ยน ถกเถียง สะท้ อนความคิด และปฏิบตั ิควบคู่กนั ไปเสมอ ไม่เช่นนั ้นเราจะเปิ ดเผยความจริงของโลกที่เราสัมผัสอยู่ไม่ได้ ”
กำรศึกษำไทยผ่ ำน “สำยตำ” เพำโล แฟรรี 1. อุดมกำรณ์ ท่ อี ย่ ำตัง้ คำถำม เราจะเห็นได้ วา่ ระบบการศึกษาไทยในโรงเรี ยน จะมีการพร่ าสวดสรรเสริญความคิดอุดมการณ์และมุมมองของฝ่ ายอนุรักษ์ นิยมอยู่ตลอดเวลา พวกเขาต้ องการกระตุ้นให้ นกั เรี ยนเกิดความรู้สกึ “คลัง่ ชาติ” เห็นความเป็ นชาติเหนือกว่าสิทธิส่วน บุคคลและการเคารพในสิทธิมนุษยชน ดังจะเห็นได้ จากการบังคับให้ เข้ าร่วมพิธีกรรมหน้ าเสาธง การปฏิญาณตนว่าจะเป็ น คนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทาตามกฎระเบียบโรงเรี ยน ไม่ทาตัวเดือดร้ อนต่อตนเองและผู้อื่น พิธีกรรมในโรงเรี ยนก็มกั จะ เป็ นการสร้ างความศักดิ์สิทธิ์ที่ทกุ คนจะต้ องกระทาและต้ องเชื่อเหมือนกันเช่นพิธีการไหว้ ครู ทั ้งยังมีการให้ หมอบคลาน เหมือนสัตว์เข้ าไปไหว้ ทั ้งที่เป็ นมนุษย์เสมือนกันและเสียค่าใช้ จ่ายในการเรียนมากกว่าที่ครูจะทาตัวเป็ นผู้สงู ส่งสอนให้ เปล่า ก็หาไม่ หรื อในห้ องเรี ยนก็จะมีการสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ชาติไทยว่ายิ่งใหญ่ ไม่เสียเอกราชไม่เป็ นอาณานิคม มีการ กอบกู้เอกราชชนะเหนือเพื่อนบ้ านทั ้งหมด มีการสอนประวัติศาสตร์ วา่ ด้ วยการเสียดินแดน 14ครัง้ และวิชาสอนศาสนาใน โรงเรี ยนก็มกั จะมีมมุ มองที่คบั แคบจะสอนอบรมบ่มเพาะเรื่ องศีลธรรมแบบไทย การมีสมั มาคารวะแบบไทย การกราบการ คลานเข้ าหาผู้ใหญ่ ยังมีการฝึ กมารยาทไทยสอนให้ ไหว้ งามๆ การสอนให้ ไม่เถียงผู้ใหญ่ไม่เถียงครูอาจารย์ สิ่งเหล่านี ้เป็ น การปลูกฝั งอุดมการณ์ “ความเป็ นไทย” ซึง่ เป็ นเรื่ องทางนามธรรมและเป็ นเรื่ องซึง่ ผูกโยงกับอดีตที่ชนชั ้นปกครองสร้ างขึ ้น การยัดเยียดสิ่งเหล่านี ้ทาให้ นกั เรี ยนเกิดความรู้สกึ ว่าชาติไทยเหนือกว่าชาติอื่นๆรอบข้ าง ดังเห็นว่าการล้ อชื่อประเทศเพื่อน บ้ านเป็ นการหยามเกียรติดหู มิ่นที่ยอมรับกันทัว่ ไปในสังคมไทย ในการสอนเองก็จะมีการเปรี ยบเทียบกับเพื่อนบ้ านตลอด ว่าประเทศนั ้นล้ าหลังและตอนนี ้ประเทศพวกนี ้ก็กาลังจะแซงหน้ าพวกเราไปแล้ ว-นี่เป็ นการนาชาติของเราเปรี ยบเทียบว่า
เหนือกว่าชาติเพื่อนบ้ านด้ วยลักษณะที่เห็นพวกเขาล้ าหลังกว่ามาโดยตลอด
การยัดเยียดอุดมการณ์เหล่านี ้นามาซึง่ การ
ปิ ดกั ้นที่จะให้ เสรี ภาพในการตั ้งคาถาม เสรี ภาพในความเชื่อ ดังจะเห็นได้ ว่าในเรื่ องประวัติศาสตร์ ของชาติไทย แทบไม่มี การอภิปรายถกเถียงถึงข้ อบกพร่องของเหล่ากษัตริย์ในอดีตได้ เลยเพราะพวกเขาเป็ นกษัตริย์และเป็ นสิ่งศักดิส์ ิทธิ์ที่ไม่ควรดู ถูกหยามหมิ่น หรื อถ้ านักเรี ยนปฏิเสธการสวดมนต์ไหว้ พระก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็ นพวกนอกรี ต พวกไร้ ศีลธรรม หรื อ พิธีกรรมหน้ าเสาธงก็เป็ นสิ่งที่ทกุ คนต้ องทาและการไม่ทาก็อาจถูกประณามว่าเป็ นคนไม่รักชาติ
ยกตัวอย่างโรงเรี ยนของ
ผู้เขียน เมื่อนักเรี ยนมารวมตัวเข้ าแถวเพื่อกระทาพิธีการหน้ าเสาธง ถ้ าพวกเขาร้ องเพลงชาติเสียงไม่ดงั ตามที่ครูพอใจแล้ ว ครูจะประกาศด้ วยอารมณ์ที่ฉนุ เฉียวรุนแรงว่านักเรี ยนไม่มีความเป็ นไทย ไม่รักชาติไทย และควรจะร้ องเสียงให้ ดงั เพื่อ แสดงความรักชาติออกมา
แน่นอนว่าไม่มีใครจะปฏิเสธได้ กบั ความไร้ เหตุผลข้ อนี ้ของครู เพราะมิฉะนั ้นแล้ วก็จะถูกด่า
ประณาม คนที่พดู กล่าวเรื่ องนี ้ก็อาจจะถูกขับไล่ให้ ไปต่างประเทศบ้ าง ให้ ออกจากโรงเรี ยนไปบ้ าง และเป็ นตัวแปลก ประหลาดไป เรื่ องนี ้เป็ นเรื่องที่อภิปรายถกเถียงไม่ได้ เลย ระบบการศึกษาที่เป็ นอยู่และโรงเรี ยนไทยในปั จจุบนั จึงเป็ นส่วนหนึง่ สาหรับการเผยแพร่อดุ มการณ์ความเชื่อ(หรื อ เรี ยกว่า การยัดเยียดยัดใส่เข้ าไปในสมองของเยาวชน ก็ได้ )ของฝ่ ายผู้กดขี่ในการที่จะล้ างสมองฝ่ าย “ผู้ถกู กดขี่”ให้ พวกเขา ไม่ร้ ูสกึ ตนว่าตนเองได้ ถกู กดขี่อย่างไรบ้ าง ให้ เชื่องสมยอบและยอมรับกับอุดมการณ์และประวัติศาสตร์ของฝ่ ายผู้กดขี่อย่าง ไม่มีสิทธิตั ้งคาถามจนกลายเป็ นการเต็มใจไป ตั ้งแต่เข้ ามาเรี ยนจนเรี ยนจบ
พวกนักเรียนเยาวชนต้ องทนรับกับอุดมการณ์ความคิดของฝ่ ายผู้ถูกกดขี่
ทั ้งนี ้อุดมการณ์ความคิดเหล่านี ้มันก็เป็ นไปเพื่อผลประโยชน์ของผู้กดขี่เองเพื่อปกปิ ด
ข้ อเท็จจริงที่ตนได้ กระทาไว้ กบั ผู้ถูกกดขี่ไม่ว่าจะในอดีตหรื อปั จจุบนั พวกเขาสามารถที่จะมีความสุขสบายตลอดไปโดยให้ ฝ่ ายผู้ถกู กดขี่ต้องทนอยู่กบั สภาพอุดมการณ์ที่พวกเขาสร้ างให้
2. กฎระเบียบที่ปิดกัน้ เราเห็นได้ อย่างชัดเจนว่า ในปั จจุบนั โรงเรี ยนไทยมีกฎระเบียบที่ไม่มีความจาเป็ นมันเปล่าประโยชน์มาก เช่น กฎระเบียบ เรื่ องทรงผมที่บงั คับให้ นกั เรี ยนชายตัดทรงผมเกรี ยน หรือสาหรับนักเรี ยนหญิงต้ องไว้ สั ้นเท่าติ่งหู
สาหรับเหตุผลที่มกั จะ
อ้ างกันในการยอมรับเรื่ องกฎนี ้ก็คือ “นักเรี ยนดูแลผมตนเองไม่ได้ ” “นักเรี ยนจะไม่สนใจเรี ยนเอาแต่ดแู ลผม” “นักเรี ยนจะดู ไม่เป็ นเด็ก พวกเขาจะดูโตเกินไป” หรื อ “นักเรี ยนเขาไว้ ผมแบบนี ้มาตั ้งเนิ่นนานแล้ ว” การอ้ างอย่างไม่ชอบด้ วยเหตุผลนี ้ แพร่หลายในความเชื่อของครูและผู้ปกครองจานวนมาก ทั ้งที่เรื่ องทรงผมนักเรี ยนมันเป็ นมรดกทางความคิดสมัยเผด็จกา รสฤษดิ์ – ถนอม นี่เองซึง่ ปกครองด้ วยรูปแบบเผด็จการทหาร พวกเผด็จการเหล่านี ้ได้ สงั หารปั ญญาชนหัวก้ าวหน้ าจานวน มากมาย กาจัดกลุ่มผู้มีแนวคิดทางสังคมนิยมผู้เรี ยกร้ องประชาธิปไตย และภายใต้ สภาวะของความเป็ นเผด็จการนั ้นย่อม ต้ องการให้ พลเมืองของตนไม่ตั ้งคาถามไม่ต้องคิดท้ าทายกับตนเอง ไม่ให้ มีความคิดสร้ างสรรค์เพราะศิลปะและความคิดที่ แหวกแนวอาจจะสรรสร้ างออกมาเสียดสีหรื อถึงขั ้นปลุกให้ คนคิดทาลายอานาจพวกเขาลงได้ เยาวชนว่าเป็ นตัวปั ญหาที่ต้องจัดการและต้ องควบคุมเสมอ
พวกเผด็จการมักจะมอง
เพราะเยาวชนมีกาลังวังชามากและในวัยเช่นนี ้ก็มกั มีความ
กล้ าหาญกล้ าถามอยูม่ าก พวกเผด็จการมองเห็นว่าพวกเขาสามารถที่จะให้ พวกเยาวชนเป็ นเครื่ องมือในการรับใช้ ระบอบ เผด็จการได้ และการกระทาเหล่านี ้จะต้ องสร้ างกฎระเบียบที่หนาแน่นและไร้ เหตุผลมาควบคุม ผู้เขียนมักจะถูกตักเตือน บ่อยครัง้ เนื่องจากใส่เสื ้อออกนอกกางเกง มันเป็ นสิ่งที่ต้องปฏิบตั ิอย่างเคร่งครัดมากในโรงเรี ยน พวกครูในฐานะ little brother (พี่น้อย) จะเป็ นเสมือนผู้สอดส่องตลอดเวลา เหมือนที่ จอร์ ช ออร์ เวล เขียนในเรื่ อง 1984 ผู้กดขี่หรื อเผด็จการซึง่ เสมือน big brother (พี่ใหญ่) ยังได้ สร้ างความยุ่งยากแก่ผ้ เู รี ยนอีกมากมาย พวกเขาต้ องการควบคุมนักเรี ยนทุกวิถีทางและ เข้ าไปควบคุมร่างกายแทบทุกส่วนด้ วย พวกเขาสนับสนุนและบังคับพร้ อมกันให้ ใส่เครื่ องแบบนักเรี ยนประดุจทหารที่ต้อง คอยฟั งคาบังคับบัญชาเสมอโดยไม่สนใจกับบริบทปั จจุบนั พวกเขาต้ องการให้ ทกุ คนเหมือนกันและอยู่ใต้ กรอบของพวก เขา
ผู้กดขี่หรื อเผด็จการเหล่านี ้พยายามที่จะทาให้ เป้ าหมายของพวกเขาบรรลุคือเยาวชนยอมรับกับการจัดระบบ
ระเบียบสังคมของพวกเขาโดยไม่ต่อต้ านขัดขืนและให้ ยอมรับสนับสนุนมันในที่สดุ
เราจะเห็นได้ วา่ ถ้ าหากเยาวชนไม่ทา
ตามกฎที่พวกเขาสร้ างมา ย่อมต้ องถูกโทษทัณฑ์ลงโทษ ไม่ว่าจะเป็ นการตี การหักคะแนน หรื ออย่างโรงเรียนที่ผ้ เู ขียนกาลัง ศึกษาอยู่ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้ นถ้ าพวกเขาไม่ได้ ตดั ผมเกรี ยน พวกเขาจะถูกตรวจและจะถูกไถผมเป็ นรอยใหญ่ ขึ ้นมา ซึง่ เป็ นการประจาณนักเรี ยนและมันละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง หรื อแม้ กระทัง่ มหาวิทยาลัยเองบางแห่งบาง คณะก็ยงั มองนักศึกษาด้ วยสายตาที่นกั ศึกษาเป็ นเสมือนผ้ าขาวที่พวกเขาจะใส่อะไรลงไปก็ได้ ในหัว เป็ นพวกไม่มีสมองไม่ สามารถตัดสินใจด้ วยตนเองได้ ดังมีกฎการตัดคะแนน ถ้ าไม่แต่งกายด้ วยชุดนิสติ นักศึกษาหรื อแต่งกายไม่เรี ยบร้ อย ถ้ า รุนแรงไม่เชื่อฟั งก็อาจจะถูกเรี ยกผู้ปกครองหรื อพักการเรี ยน มรดกกฎเกณฑ์ในโรงเรี ยนและมหาวิทยาลัยที่ฝ่ายผู้กดขี่เหล่านี ้สร้ างขึ ้นไว้ ตั ้งแต่ในอดีต มันยังคงเป็ นเครื่ องมือของพวก เขาในการกดขี่อยู่สาหรับปั จจุบนั แม้ ว่าเหตุผลความชอบธรรมที่จะรองรับกฎเกณฑ์เหล่านี ้ รวมถึงสภาพแวดล้ อมและ ความจาเป็ นในปั จจุบนั นั ้นแทบไม่มีเลย มันเป็ นการปิ ดกั ้นความคิดสร้ างสรรค์ซงึ่ จาเป็ นในสังคม แล้ วเหตุใดจึงไม่มีการ เปลี่ยนแปลงออกจากความไร้ สาระเหล่านี ้
เพราะฝ่ ายผู้กดขี่ไม่ต้องการให้ ฝ่ายผู้ถกู กดขี่มีความคิดสร้ างสรรค์ ออกนอก
กรอบที่พวกเขาสร้ างขึ ้นในการควบคุม ไม่ต้องการให้ มีความเป็ นตัวของตัวเอง และตั ้งคาถามกับการกระทาของพวกเขาที่ กระทามา
ความเป็ นเผด็จการนั ้นแม้ จะไม่แสดงออกอย่างชัดเจนแต่มนั ก็ยงั คงเป็ นอยู่ฝ่ายผู้กดขี่มิได้ ปราชัยหายไปเลย
อนึง่ สังคมไทยเองเวลานี ้ทหารก็ยงั เป็ นใหญ่มีอานาจเหนือพลเรื อน สอนง่ายตามฉบับของเขา
พวกเขายังต้ องการให้ เยาวชนเป็ นพลเมืองดีว่านอน
ให้ เยาวชนฉลาดในการเชื่อและปฏิบตั ิตามกฎของพวกเขา
อย่างเรื่ องนักศึกษาวิชาทหารก็
เกิดขึ ้นในสถานศึกษา ทั ้งที่สถานศึกษาโดยทัว่ ไปที่มใิ ช่ของฝ่ ายที่ม่งุ ฝึ กทหารควรจะเป็ นที่ปลอดจากอานาจทางการทหาร กฎกติกาหล่อหลอมจากนักเรี ยนจนเข้ าสู่อดุ มศึกษาและสังคมภายนอกก็จะได้ อยู่ตามกฎกติกาที่พวกเขาได้ สร้ างไว้ แล้ ว พวกเขาผู้ผ่านกฎเกณฑ์ดงั กล่าวก็จะมากดขี่สร้ างความชอบธรรมให้ กบั กฏที่เป็ นอยู่เรื่ อยๆไปด้ วยการอ้ างความหวังดีที่ อ้ างๆกันมาอย่างปราศจากเหตุผลและความเป็ นจริง แฟรรี เขียนว่า “ความพยายามของคนที่ต้องการทาให้ อานาจของผู้ กดขี่ออ่ นลงเพราะสงสารผู้ถกู กดขี่ที่ออ่ นแอ เพียงแต่เป็ นความเมตราจอมปลอมและมันก็จะหยุดอยู่แค่นั ้น ผู้กดขี่มกั จะ ต้ องปกป้ องสังคมที่อยุติธรรมเพื่อสร้ างภาพว่าตนเองมีความเมตตาเสมอ”
3. ยัดเยียดควำมรู้ “ฝำกธนำคำร” ในโรงเรี ยนของไทย เป็ นที่น่าตกใจอย่างยิ่งที่นกั เรียนใช้ เวลาในห้ องเรี ยนมากเกือบที่สดุ ในโลก เรี ยน 8 กลุ่มสาระวิชาและมี กิจกรรมเสริมมากมาย ในโรงเรี ยนไทยหลายแห่งและคงจะเป็ นส่วนมากมีคาบเรี ยนกว่า 7 คาบ บางแห่งถึง 9 – 10 คาบก็มี แต่ละคาบใช้ เวลาคาบละ 50 – 60 นาที ถือว่านักเรี ยนไทยเรี ยนหนักมากถ้ าเทียบกับในหลายๆประเทศ แต่ความสาเร็จ ผลสัมฤทธิ์ที่ปรากฏออกมาในผลทดสอบระดับประเทศและสากลโลก กลับเป็ นว่าอยู่ในจุดต่ามาก ผลสารวจและองค์กร ในหลายแห่งก็มีการจัดอันดับออกมาว่าการศึกษาไทยเป็ นการศึกษาที่อยู่ในอันดับท้ ายๆของโลก สามารถอภิปรายโต้ เถียงกันได้ ตอ่ ไป
ซึง่ ข้ อมูลเหล่านี ้นั ้น
แต่ความเป็ นจริงในเรื่ องความล้ มเหลวของการศึกษาไทยที่เรี ยนมากมายนั ้นเป็ นที่
ประจักษ์อย่างปฏิเสธไม่ได้ ความล้ มเหลวมาจากความเปล่าเปลืองในเรื่ องกฎระเบียบและชุดความคิดดังได้ อธิบายมาก่อน หน้ านี ้แล้ ว อีกส่วนสาคัญที่มองข้ ามไม่ได้ เลยคือวิธีคิดของครูและผู้จดั การศึกษาสาหรับจัดการเรี ยนการสอนปั จจุบนั ให้ แก่ นักเรี ยนนักศึกษาเป็ นวิธีคิดที่ผิดพลาดไปหรื อไม่ ถ้ าเรี ยกตามแฟรรี่ คงเรี ยกได้ ว่า “ระบบการศึกษาแบบฝากธนาคาร" มี ความหมายว่า การมองว่านักเรี ยนหรื อนิสิตนักศึกษานั ้นไม่ร้ ูอะไรเลย และครูมีหน้ าที่จะใส่ความรู้เข้ าไปอย่างเต็มที่ที่ครู ต้ องการ เหมือนการฝากเงินเข้ าบัญชี วิธีคิดแบบนี ้ทาให้ ครูเป็ นเสมือนผู้ผกู ขาดความรู้ เป็ นผู้ทรงปั ญญาขณะที่นกั เรี ยนไม่ร้ ู อะไรเลย ครูกลายเป็ นผู้มีสถานะศักดิ์สิทธิ์ขึ ้นมา นักเรี ยนมีหน้ าที่อย่างเดียวคือรับป้ อนข้ อมูล ความคิดแบบฝากธนาคาร เป็ นสิ่งที่ครอบงาระบบการศึกษาไทยในขณะปั จจุบนั เราเห็นการจัดกระบวนการเรี ยนการสอนในลักษณะนี ้อย่างชัดเจน นัน่ คือการที่คาบเรี ยนมากโดยไม่คานึงถึงความสุข คานึงว่ามันมากไปไหมและมันสร้ างความน่าเบื่อ ไร้ แรงจูงใจหรื อไม่ ลืม คานึงถึงความสามารถของนักเรี ยนที่หลากหลายในการรับรู้ข้อมูล นี ้เป็ นตัวสะท้ อนอย่างเห็นได้ ชดั ของรูปแบบการศึกษา แบบฝากธนาคาร ปั ญหาของวิธีคิดแบบฝากธนาคารเป็ นสิ่งที่ครูจานวนมากสมาทานยึดถือเอาไว้ และผู้บริหารการศึกษาก็สมาทานความ เชื่อนี ้มาอย่างยาวนานเช่นกัน การที่มีรูปแบบความคิดเช่นนี ้ส่งผลให้ ครูไม่เห็นถึงศักยภาพของนักเรี ยนแต่ละคนที่แตกต่าง หลายหลายกัน ทาให้ มองพวกนักเรี ยนเป็ นเหมือนภาชนะที่จะใส่อะไรลงไปก็ได้ และมันก็จะได้ ตามที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ พวกเขาคิดว่าการกระทาเช่นนี ้จะทาให้ นกั เรียน “ฉลาด” “รอบรู้” “เก่ง” ด้ วยความหวังดีของพวกเขาตาม แต่สิ่งที่เขายัด เยียดใส่ลงไปให้ นกั เรี ยนนั ้น ผลลัพธ์กลับตรงกันข้ ามกับความหวังดีของพวกเขาคือมันล้ มเหลว ผู้เรี ยนไม่อาจที่จะเป็ นดัง่ ภาชนะว่างเปล่า หรื อเป็ นบัญชีธนาคารที่ไม่มีเงิน ก่อนที่พวกครูจะยัดเยียดใส่เข้ าไปให้ โดยธรรมชาติแล้ ว นักเรี ยนหรื อนิสิตนักศึกษาเป็ นพวกชอบในการเรี ยนรู้มาตั ้งแต่เด็ก พวกเขาช่างถามและชอบแสดง ความคิดเห็นด้ วยความรักในความรู้และสนุกไปกับมัน แต่เมื่อพวกเขาผ่านกระบวนการยัดเยียดความรู้อนั หนักหน่วงอย่าง ยาวนานในห้ องเรี ยนไทย
ไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้ เลยว่าย่อมเหนื่อยล้ าทั ้งทางจิตใจซึง่ เกิดความเบื่อหน่ายและทางกายที่
เมื่อยล้ ากับความยาวนานในการบังคับให้ เรี ยนให้ ท่องจา กระบวนการเหล่านี ้มันทาให้ นกั เรี ยนมีความหวังที่ เหือดแห้ งไป ความมีชีวิตชีวาร่าเริ งแทบจะมลายหายสิ ้น การอยากรู้อยากเห็นและตั ้งคาถามดูเหมือนจะมอดดับลงไป ถูกแทนที่ด้วย ความเชื่อง ความเมื่อยเบื่อหน่าย อ่อนล้ า เซื่องซึม ไม่โต้ เถียงไม่คิดแย้ ง และแย่ที่สุดคือมันอาจจะทาให้ นกั เรี ยนกลาย สภาพเป็ นเหมือนหุ่นยนต์ที่คอยฟั งคาบังคับบัญชาและไม่คดิ โต้ แย้ งใดๆทั ้งสิ ้น แฟรรี เขียนไว้ วา่ “ระบบการศึกษาแบบ “ฝาก
ธนาคาร” สร้ างประโยชน์ให้ กบั ผู้กดขี่มหาศาลเพราะทาลายความสามารถในการคิดเองและการออกมาเปลี่ยนแปลงโลก เองของนักศึกษา ซึง่ นาไปสู่การปกครองคนที่เชื่องและจงรักภักดีและที่แย่ที่สดุ คือนาไปสู่การทาลายความเป็ นมนุษย์ของ นักศึกษา"
4. ควำมสัมพันธ์ และกำรเรี ยนกำรสอนแบบเผด็จกำร จากระบบการจัดการเรี ยนการสอนแบบ “ฝากธนาคาร” มันนามาสู่ปัญหาสาคัญอีกเรื่ องคือความสัมพันธ์ระหว่างนักเรี ยน – ครู ในโรงเรี ยน ในปั จจุบนั หรื อในอดีตซึง่ ก็สมาทานความคิดการศึกษาแบบฝากธนาคารมาช้ านาน ครูจะเป็ นผู้ที่สอน เทศนาในวิชาความรู้อยู่ฝ่ายเดียว ขณะที่นกั เรี ยนนั ้นก็มีหน้ าที่เพียงแค่รับฟั งจดจา และท่องตาม การกระทาแบบนี ้ส่งผล อย่างใหญ่หลวงต่อการคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรี ยน การตั ้งคาถามต่อการเรียนการสอนวิชาความรู้ แล้ วเราก็เห็นได้ อีกอย่าง ชัดคือนักเรี ยนไม่มีความสุขในการเรียนสักเท่าไหร่ ต้ องจดตาม ต้ องท่องจาเพื่อสอบเพื่อค่าเฉลี่ยคะแนนที่สงู ในห้ องเรี ยน ไทยจะเห็นได้ ว่าการแลกเปลี่ยนด้ วยความสนุกสนานในความรู้ระหว่างนักเรี ยน-ครูแทบจะไม่มี
และหลายๆครัง้ ผู้เขียน
สังเกตได้ ว่า เวลาครูถามนักเรี ยนในประเด็นต่างๆจะมีไม่กี่คนหรือแทบจะไม่มีใครยกมือตอบคาถาม หรือก็ตอบตามกัน มากกว่าจะคิดกันจริงๆ ในห้ องเรี ยนไม่มีลกั ษณะการแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้ เกิดขึ ้น มันเป็ นสิ่งที่นามาสู่ปัญหาที่เรามักจะพูดกัน ว่า “เด็กไทยคิดกันเองไม่เป็ น” ทั ้งที่พวกเขาสามารถจะคิดได้ แต่การมองว่านักเรี ยนไม่มีความรู้อะไรเลย และมีหน้ าที่เพียง รับรู้สิ่งที่ครูสอนเท่านั ้น มันทาให้ เหล่านักเรี ยนหมดความกล้ าหาญและเบื่อหน่ายในการแสดงความคิดเห็น ความสัมพันธ์ ในห้ องเรี ยนที่ย่าแย่ระหว่างนักเรี ยน-ครู
อยู่กนั ด้ วยความกลัวครูเป็ นผู้ที่ฉลาดที่สดุ ต้ องเชื่อฟั งครู มากกว่าจะเป็ นความรัก
และความจริงใจในการแสดงทัศนะต่อกัน การสอนวิชาการในโรงเรี ยน ยังมีลกั ษณะการแยกส่วนและไม่สมั พันธ์กบั ชีวติ จริงอีกด้ วย มันแยกองค์ความรู้ให้ เป็ น เสี่ยงๆเช่น วิทยาศาสตร์ กบั ชีวิตจริง การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ นิเวศวิกฤติการทาลายสิง่ แวดล้ อมอย่างรุนแรงใน สังคม แทบไม่ปรากฏในการเรี ยนการสอนวิทยาศาสตร์ เราแยกมันออกจากสังคมศาสตร์ เช่นเดียวกับวิชาอื่นๆอย่างเช่น ศิลปะซึง่ สัมพันธ์กบั สังคม ศิลปะสะท้ อนสังคมเชื่อมโยงกับสังคม แต่กลับถูกแบ่งแยกไม่ให้ ปะติดปะต่อเชื่อมโยงกัน การทา เช่นนี ้ลดทอนองค์ความรู้ มันทาให้ ความสัมพันธ์ระหว่างโลกจริงและวิชาการแยกจากกัน โดยที่ความจริงแล้ วมันสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันตลอดเวลาแยกจากกันไม่ได้ การเรี ยนการสอนในห้ องเรี ยนปั จจุบนั เต็มไปด้ วยจืดชืด ไม่มีชีวติ ชีวาเป็ นอย่างยิ่ง เมื่อปราศจากการรับรู้ต่อกันและกัน ครูอาจารย์เองมีหน้ าที่เพียงสอนให้ นกั เรี ยนเรี ยนในสิ่งที่จาเป็ นต้ องรู้ตามหลักสูตรเท่านั ้นเพื่อไปสอบ และการทดสอบก็เป็ น เพียงเพื่อวัดว่าพวกนักเรี ยนเป็ นภาชนะหรื อเป็ นบรรจุภณ ั ฑ์ที่ดีในการยัดเยียดความรู้หรื อไม่ การสอบหรื อการทดสอบใน ปั จจุบนั จึงมีลกั ษณะที่ด้อยคุณภาพ ไม่เข้ ากับชีวิตไม่อาจแก้ ปัญหาอะไรได้ เลย และเมื่อท่องจาตามที่ครูสงั่ มาเสร็จก็ลืม มัน กลายเป็ นขยะในสมองที่ไม่ได้ ใช้ ก็ลืมไปในที่สดุ
แบบทดสอบที่เป็ นอยู่มนั ยังทาให้ คนอ่อนเปลี ้ยจากการต้ องท่องจาโดย
นาไปใช้ ประโยชน์อื่นใดไม่ได้ และพวกเขาผู้สอบถ้ าทาไม่ได้ ตามเป้ าหมายก็ดจู ะถูกทาให้ ด้อยค่าลง รู้สกึ ว่าด้ อยกว่าผู้อื่น ทั ้ง
ที่ข้อสอบเหล่านี ้มันแค่วดั ว่าคุณเป็ นภาชนะที่ดีหรื อไม่ เมื่อจริงจังกับแบบทดสอบแล้ วครูกดดันให้ พวกเขาจาให้ ได้ ตามที่ครู ต้ องการ แบบทดสอบกลายเป็ นตัวปิ ดกั ้นการพัฒนาชีวิตในเชิงสร้ างสรรค์ ความต้ องการในสิ่งที่พวกเขาอยากจะเป็ นตัว ของตัวเองลงไป ในระบบมหาวิทยาลัยไทยเอง อาจารย์ก็มกั จะมีมมุ มองแบบ “ฝากธนาคาร” โดยพูดเสมอว่านักศึกษา “ต้ อง” ผ่านการ เรี ยนอย่างน้ อยสี่ปีและผ่านหน่วยกิจตามที่กาหนดไว้ เพื่อให้ มี “ความรู้สมบูรณ์” โดยไม่สนใจความสามารถของนักศึกษาที่ จะคิดเอง
ตั ้งคาถาม
หรื อแก้ ปัญหาเลย
การสอนมักจะแยกส่วนตามคณะและวิชา
เช่นแยกรัฐศาสตร์ ออกจาก
เศรษฐศาสตร์ หรื อประวัติศาสตร์ และการสอบแบบปรนัย ที่นกั ศึกษาต้ องเลือกประโยคที่ถกู ต้ องหรื อเติมคาลงในช่องว่าง มักส่งเสริมให้ นกั ศึกษามองว่ามีแค่คาตอบเดียวที่ถกู ต้ องที่ต้องท่องจา แฟรรี เขียนว่า “ถ้ าเราจะใช้ การเรี ยนรู้เพื่อเสรี ภาพ เราต้ องทาความเข้ าใจเกี่ยวกับวิธีการทดสอบความรู้
การสอบในระบบการศึกษากระแสหลักมีบทบาทสาคัญในการ
ทาลายความสามารถในการคิดเองของนักศึกษา มันไม่ใช่การทดสอบความรู้และความเข้ าใจโลกจริง แค่ทดสอบว่าเป็ น นักศึกษาเป็ นภาชนะที่ดีของสิ่งที่ครูยดั ให้ เท่านั ้น” การที่เป็ นแบบนี ้ก็เป็ นเรื่ องที่ดีสาหรับผู้กดขี่ในการที่จะทาให้ คนไม่คดิ ตั ้งคาถาม
พวกเขามีวิธีการที่มากมายและการ
เรี ยนการสอนแบบที่มองนักเรี ยนว่าเป็ นภาชนะว่างเปล่าพร้ อมที่จะยัดเยียดอะไรเข้ าไปก็ได้ มันเป็ นสิ่งที่ทาให้ สถานะของผู้ กดขี่มนั่ คงยิ่งขึ ้น เพราะเมื่อปราศจากการท้ าทาย วิชาการมีการแยกส่วนไม่สมั พันธ์กนั ปราศจากการนาหลักทางวิชาการ วิเคราะห์สงั คมที่เป็ นอยู่ สภาพการณ์ที่ดารงอยู่ การอภิปรายโต้ เถียงอย่างมีความสัมพันธ์ที่เท่ากันและจริงใจต่อกันระหว่าง นักเรี ยน-ครู ในการเรี ยนการสอนมีแต่ความสัมพันธ์เชิงอานาจเป็ นในลักษณะที่สงั่ การอย่างเบ็ดเสร็จ ผู้กดขี่ย่อมใช้ อานาจ ได้ อย่างชอบใจและเขาก็สามารถยัดอะไรใส่ลงไปก็ได้ อย่างไม่สิ ้นสุด นอกจากเรื่ องที่ยกมาให้ เห็นเป็ นรูปธรรมแล้ ว ยังมีกรณีของการเข้ าไม่ถงึ การศึกษาระหว่างนักเรี ยนในเมืองและชนบท ปั ญหาของการเรี ยนกวดวิชาที่มีเม็ดเงินสะพัดนับหมื่นล้ าน ปั ญหาการทุจริตคอรัปชัน่ ในโรงเรี ยนซึง่ มักเป็ นสิ่งที่เกิดขึ ้นได้ ไม่ ยากนักจากระบบที่ครูผ้ นู ้ อยเป็ นผู้ใต้ บงั คับบัญชาและไม่มีปากมีเสียงที่จะเคลื่อนไหวเรี ยกร้ องอะไรได้ เลย และอื่นๆ อีก มากมาย ดังที่ยกมาแล้ วก็อาจจะพอกล่าวได้ วา่ ระบบการศึกษาไทยในเวลานี ้มีลกั ษณะที่ เป็ นการศึกษาสาหรับรับใช้ ผ้ กู ดขี่ แทบ ในทุกด้ านของระบบการศึกษา
ในสังคมต่างๆก็มีลกั ษณะที่ตวั ระบบการศึกษาหรื อระบบในสังคมนั ้นๆจะรับใช้ ผ้ กู ดขี่ซงึ่ มากน้ อยต่างกันไป แต่ตวั ระบบการศึกษาไทยนั ้นถือว่าเป็ นอย่างมากไม่ว่าจะรูปแบบฝากธนาคาร ความศักดิส์ ิทธิ์ของครู การบังคับด้ วยกฎเกณฑ์ต่างๆ สอดคล้ องกับสภาพสังคมของเราซึง่ ไม่มีเสรี ภาพทางความคิด และไม่มีความยุติธรรมทาง เศรษฐกิจ การที่กล่าวถึงปั ญหาไปนั ้น ในการวิเคราะห์ระบบการศึกษาของแฟรรี มิใช่เป็ นเพียงการมองเห็นปั ญหาที่เกิดขึ ้นแล้ วจบ เท่านั ้น อันที่จริงการวิเคราะห์แบบนี ้ใครๆก็เห็นได้ ไม่ยาก แต่สาหรับการวิเคราะห์ของแฟรรี เขาได้ เสนอในสิ่งที่เรี ยกว่า “การ เรี ยนรู้ของผู้ถกู กดขี่” ซึง่ มันท้ าทายนักเรี ยน-ครูในการแก้ ปัญหา เขากล่าวว่า “คนที่ก้าวหน้ ามักจะเดินหน้ าสู่ความจริงเพื่อ
เรี ยนรู้เกี่ยวกับความจริ งนั ้น และลงมือปฏิวตั ิเพื่อที่จะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลง เขาจะไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ า ฟั ง หรื อ เห็น ลักษณะของโลกและเขาจะไม่กลัวการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น”
ดังนั ้นการลงมือเปลี่ยนแปลงจึงเป็ นสิ่งสาคัญและมันเป็ น
หนทางเดียวในการแก้ ไข “การพูดว่ามนุษย์ควรจะมีเสรี ภาพเสร็จแล้ วไม่ลงมือทาอะไรเพื่อเปลี่ยนโลกจึงเป็ นเรื่ องตลก” เขา ได้ ให้ ความหวังและความเชื่อมัน่ แก่เราในการรวมพลังกันของนักเรี ยนนิสิตนักศึกษาและครูเพื่อการสร้ างระบบการศึกษา อย่างใหม่ แฟรรีมิได้ ให้ เราเห็นปั ญหาแล้ วมัวพร่ าสวดภาวนาหรื อรอความเปลี่ยนแปลงจากเบื ้องบน เขาได้ เตือนว่า “ความ พยายามของคนที่ต้องการทาให้ อานาจของผู้กดขี่ออ่ นลงเพราะสงสารผู้ถกู กดขี่ที่ออ่ นแอ
เพียงแต่เป็ นความเมตตา
จอมปลอมและมันก็จะหยุดอยู่แค่นั ้น ผู้กดขี่มกั จะต้ องปกป้ องสังคมที่อยุติธรรมเพื่อสร้ างภาพว่าตนเองมีความเมตตาเสมอ การปลดแอกที่แท้ จริงต้ องเป็ นการกระทาของผู้ถกู กดขี่เอง
แต่ผ้ ถู กู กดขี่ไม่ได้ มีเกราะป้ องกันตัวจากแนวความคิดของผู้มี
อานาจที่อยู่เบื ้องบน เพราะบ่อยครัง้ จะกลืนความคิดของผู้กดขี่เข้ าไปในร่างของตนเอง สิ่งเหล่านี ้นาไปสู่การกลัวเสรีภาพ แท้ ซึง่ อาจจะทาให้ เขาอยากจะก้ าวขึ ้นมาเป็ นผู้กดขี่ผ้ อู ื่นแทนหรือนาไปสู่การปิ ดหูปิดตาถึงการที่เขาถูกกดขี่แต่แรก” แฟรรี เสนอให้ เราปฏิวตั ิ การปลดแอกตนจากพันธนาการด้ วยตัวเองคือการเรี ยนรู้สาคัญในการมีชีวติ อยู่บนโลกอย่างไม่ถกู ขูดรี ด ใดๆ เขาให้ มมุ มองแก่นกั เรี ยนและครูในการเรี ยนรู้ร่วมกัน การตระหนักปั ญหาเพื่อนามาสู่การปลดแอกตนสู่กระบวนการ การศึกษาที่มีส่วนร่วมและวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ การไม่เท่าเทียมกัน การขูดรี ดและความรุนแรงที่เกิดขึ ้นในสังคมเพื่อสูก่ าร เปลี่ยนแปลงสังคมด้ วย แฟรรี เขียนว่า “สังคมที่เต็มไปด้ วยความเป็ นเผด็จการ มักจะมีโรงเรี ยนและมหาวิทยาลัย ที่ไม่มี เสรี ภาพ แม้ แต่ครอบครัวในสังคมแบบนี ้จะมีการกดขี่ ทั ้งนี ้เพราะโรงเรี ยน มหาวิทยาลัย และครอบครัว เป็ นส่วนหนึง่ ของ สังคม และได้ อทิ ธิพลจากสังคมนั ้นเสมอ และบ่อยครัง้ ผู้ที่ผ่านการศึกษามาในรูปแบบนี ้ก็จะไปกดขี่และผลิตซ ้าสภาพเผด็จ การเมื่อจบออกมาและเข้ าไปทางาน”
การเปลี่ยนแปลงจึงเป็ นสิ่งที่แยกออกไม่ได้ ระหว่างระบบสังคมและการศึกษา
การศึกษาเป็ นจุดเริ่มต้ นที่ดีในการเปลี่ยนแปลง
สุดท้ ายขอจบด้ วยถ้ อยคาของแฟรรี ที่ว่า “ในทุกยุคทุกสมัยมนุษย์จะต้ องเลือกระหว่างการพัฒนาความเป็ นมนุษย์กบั การทาลายความเป็ นมนุษย์ ความเป็ นมนุษย์ ถูกปฏิเสธตลอดด้ วยความอยุติธรรม การขูดรี ด การกดขี่ และ ความรุนแรงของผู้กดขี่ แต่การปฏิเสธความเป็ นมนุษย์อนั นี ้ เพียงแต่พิสจู น์ว่าภาระกิจของประชาชนจะต้ องเป็ นการพัฒนาความเป็ นมนุษย์ของทุกคนในโลก
การต่อสู้กบั สภาพที่
ทาลายความเป็ นมนุษย์เป็ นไปได้ เสมอเพราะสภาพนี ้ไม่ได้ เป็ นเรื่ องของเวรกรรมที่ถูกกาหนดมาแต่อย่างใด” เราจะเลือกอะไรนิ่งเฉยหรื อสร้ างความเปลี่ยนแปลง ?
ฝั นร้ ำย sotus บทควำมเก่ ำจำก ร้ อยแปดวิถีทศั น์ นสพ กรุ งเทพธุรกิจ ใจ อึ๊งภำกรณ์ เขียน
ในตอนเย็นของวันทางานธรรมดาๆ ที่จุฬาฯ วันหนึ่ง ผมเดินออกจากห้ อง เพื่อไปขึ ้นรถไฟกลับบ้ าน แต่ปรากฏว่า มีเสียงโห่ ร้ อง อย่างน่ากลัวเกิดขึ ้น จากตึกคณะเศรษฐศาสตร์ ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่า เสียงนี ้เป็ นเสียงฝูงสัตว์ป่า หรื อกลุ่มอันธพาลกันแน่ แต่พอยืนฟั งสักพัก ก็ร้ ูวา่ เป็ นนิสิตจุฬาฯ เห่า หอนโห่ร้องว่า คณะของตน และมหาวิทยาลัยของตน ดีกว่าคนอื่น ฯลฯ ผมเดินต่อไปที่ตกึ รัฐศาสตร์ ก็ปรากฏว่ามีเสียง ประหลาดๆ แบบนี ้เกิดขึ ้นเช่นกัน แต่ออกมาจากห้ อง ที่ประตูหน้ าต่างปิ ดหมด สักพักหนึง่ ผมเดินไปที่หน้ าเสาธง ก็เห็นวัยรุ่นอันธพาลชาย 3 คนยืนปรามนิสิตหญิงปี 1 คนเดียว เขาใช้ วิธีบงั คับทารุ ณ ให้ ผ้ หู ญิงคนนั ้น วิง่ ไปวิ่งมา หรื อนัง่ ลงแล้ วยืนขึ ้น ทั ้งหมดกระทาไป เพื่อทาลายความเป็ นปั จเจก ความคิดสร้ างสรรค์ และ ศักดิ์ศรีความเป็ นมนุษย์ ของนิสิตคนนั ้น เพราะเป็ นการบังคับ ให้ คนทาสิ่งที่ไร้ สาระเพื่อ ''พิสจู น์'' ความจงรักภักดี มันแย่ยิ่งกว่าการบังคับทาส หรื อนักโทษให้ ขดุ คลอง ยิ่งกว่านั ้น ขณะที่พวกรุ่นพี่กาลังบังคับให้ นิสิตปี 1 วิง่ ไปวิ่งมาอย่าง ไร้ สาระ ก็มีการตะโกนด่า อย่างที่คณ ุ พ่อคุณแม่ หรื อครูของนิสติ คนนั ้น คงไม่มีวนั กระทา เพราะมันเป็ นพฤติกรรมแท้ ของ คนที่ไม่มีอารยธรรม และนอกจากนี ้ ทั ้งหมดนี ้ กระทาต่อหน้ ากลุ่มนิสิตปี 1 เพื่อเป็ น ''ตัวอย่าง'' ให้ เขาเห็น สรุปแล้ วมันเป็ นภาพของการทาลายศักดิ์ศรีซงึ่ กันและกันระหว่างนิสิตรุ่นพี่ และรุ่นน้ อง ทั ้งผู้กระทา และผู้ถกู กระทา กลายเป็ นสัตว์ป่า เพราะผู้กระทาหลงเชื่อว่า ตนเองมีสิทธิที่จะกระทาแบบนั ้นกับผู้อื่น การตะโกนแบบหยาบๆ เพื่อบังคับให้ คนภายใต้ อานาจเราทาสิ่งที่ไร้ สาระ เรี ยนรู้โดยตรงจากการฝึ กกองทหารในระบบ ทุนนิยม ถ้ าดูภาพยนตร์ เรื่ องชีวิตการฝึ กทหารก็จะเห็นวิธีการแบบนี ้ เป้ าหมายหลักคือ การฝึ กให้ พลทหารทาตามคาสัง่ โดย ไม่คดิ และไม่เถียง เพราะพวกนายพลมองว่าเป็ นการสร้ าง “ประสิทธิภาพในการรบ” ขอเน้ นอีกครัง้ หนึง่ ว่าวิธีการนี ้ใช้ เพื่อ สร้ างประเพณีบรรยากาศการทาตามคาสัง่ โดยไม่คิดเอง ดังนั ้นนี่คือสิ่งที่นกั ศึกษาใน ''มหาวิทยาลัยชั ้นนา'' ของไทยกาลังถ่ายทอดจากรุ่นพี่ไปสู่รุ่นน้ อง ดังนั ้นอย่าหวังอะไรมาก จากเด็ก sotus ที่จบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะถ้ าตอนสอบเข้ าเขาคิดเองเป็ น พอผ่านการฝึ กฝนในห้ องเชี ยร์ ในปี แรกก็คงไม่มีมนั สมองเหลือเพื่อการวิเคราะห์โลกอีก
สิ่งหนึง่ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่ องของระบบทหารคือ ในสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี หลังการปฏิวตั ิฝรั่งเศสปี 1789 หรื อในสงครามระหว่างเวียดนามกับสหรัฐในทศวรรษที่ 60 และ 70 ฝ่ ายที่ชนะไม่ได้ ชนะเพราะมีการฝึ กทหารให้ เป็ น หุ่นยนต์ที่ทาตามคาสัง่ แต่ชนะเพราะทหารฝรั่งเศสหรื อทหารเวียดนามเข้ าใจด้ วยมันสมองของตนเองว่า เขาออกรบเสี่ยง ตายเพื่ออะไร พูดง่ายๆ ไม่ต้องมีใครมาสัง่ ให้ เขารบอย่างกล้ าหาญหรอก เขารบอย่างกล้ าหาญเพราะเขาเห็นด้ วยกับอุดมการณ์ที่เขา กาลังปกป้ อง Henry Kissinger เข้ าใจเรื่องนี ้ดี เพราะเขาสารภาพว่า "เราแพ้ สงครามเวียดนามเนื่องจากเราใช้ การทหารใน การรบในขณะที่ฝ่ายตรงข้ ามใช้ การเมือง" กลับมาสูม่ หาวิทยาลัยของผมที่หวัง ''เป็ นเลิศทางวิชาการ'' .... ถ้ าเราถามนิสิตรุ่นพี่หรื อนิสิตเก่าว่า กิจกรรมในห้ อง เชียร์ ทาไปทาไม เขาจะตอบว่ามันเป็ นกิจกรรมร่วมภายใต้ ระบบ sotus ที่สร้ างความสามัคคีเป็ นอันหนึง่ อันเดียวกันในคณะ เขาจะอธิบายต่อว่าการผ่านความยากลาบาก (การถูกบังคับอย่างทารุณโดยรุ่นพี่) ช่วยให้ ทกุ คนรู้จกั กันดีขึน้ และสามัคคี กัน ดังนั ้นผมขอเสนอว่าจริงๆ แล้ วถ้ านิสิตจะฝ่ าความยากลาบากพร้ อมๆ กัน ก็ควรอาสาสมัครหมู่ไปขุดโคลนออกจากท่อ ระบายน ้าตามถนนอย่างที่นกั โทษเขาทากัน หรืออาสาสมัครไปเก็บขยะตามสลัมแถวๆ คลองเตย หรื อทาความสะอาด ห้ องน ้าสาธารณะ ฯลฯ จะมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า แต่ผมเชื่อว่านิสิตพวกที่หลงใหลในระบบ sotus คงไม่มีวนั ทา เพราะลึกๆ แล้ ว ระบบนี ้เป็ นระบบที่ปกป้ องโครงสร้ าง อานาจระหว่างรุ่นพี่กบั รุ่นน้ อง "สิงห์ดา แดง เหลือง ม่วง ลาย ฯลฯ" หลังจากที่เรี ยนจบจากมหาวิทยาลัยแล้ วออกไปทางาน พูดง่ายๆ sotus มันไม่แค่ทาลายความคิดของนิสิตขณะที่ศกึ ษา แต่มนั ปกป้ องระบบอานาจนิยมในหมูช่ นชั ้นนาใน สังคมไทยด้ วย
สาหรับคนที่ไม่เข้ าใจว่า sotus คืออะไร ขออธิบายว่าเป็ นตัวย่อจากภาษาอังกฤษ 5 คาดังนี ้ S มาจากคาว่า stupid หรื อ ''โง่'' ระบบห้ องเชียร์ ช่วยให้ นสิ ิตโง่มากขึ ้น เพราะทาลายเซลล์ในสมอง และความสามารถ ในการคิดเองเป็ น แถมกิจกรรมต่างๆ ที่ทาในห้ องเชียร์ ถกู กาหนดว่าต้ องเป็ นเรื่ องโง่ๆ ด้ วย ห้ ามเป็ นเรื่ องที่เป็ นประโยชน์ตอ่ สังคม ต้ องวิง่ ไปวิ่งมา ขังรุ่นน้ องในห้ องโดยปิ ดประตูหน้ าต่าง และไม่เปิ ดแอร์ ทาถูกก็โดนด่า ทาผิดก็โดนด่า ไม่ทาก็ ด่า ทา ก็ด่า ทาไปทามาทั ้งรุ่นน้ อง และรุ่นพี่โง่กนั อย่างสามัคคีเป็ นอันหนึง่ อันเดียวกัน ทากิจกรรมเสร็จแล้ วออกมาจากห้ องก็ต้อง ไหว้ รุ่นพี่อีก ถ้ ารุ่นพี่สงั่ ให้ ไหว้ หมา ''เพื่อความสามัคคี'' ก็คงต้ องไหว้ มั ้ง? แถมเรี ยนจบก็นาความโง่ไปใช้ ในสังคมภายนอก หมอบคลานกราบไหว้ สิ่งที่ไม่ควรกราบ ไม่ต้องใช้ สมองคิด สังคมจะได้ โง่ สรุปแล้ วโคตรโง่เลย !
O มาจากคาว่า out-dated ซึง่ แปลว่า ''ล้ าสมัย'' ความล้ าสมัยของระบบห้ องเชียร์ และ sotus ดูได้ จากการที่มีการ ยกเลิกระบบนี ้เองโดยนักศึกษาไทยในยุค 14 ตุลาคม 2516 ซึง่ เป็ นยุคตื่นตัวทางสังคมของนักศึกษา ในยุคนั ้นเริ่มมี ขบวนการนักศึกษาที่ปฏิเสธความโง่ และความป่ าเถื่อนของระบบรุ่นพี่รุ่นน้ อง ประเพณีต่างๆ ที่พวกพี่ๆ โง่ นามาใช้ ในสมัย เผด็จการทหารก็เลยกลายเป็ นเรื่ องตลก และถูกยกเลิกไป แต่ปรากฏว่าตอนนี ้เกือบ 40 ปี ผ่านไป สังคมนักศึกษาก็ยงั จม อยู่ในความโง่ของอดีต สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะนักศึกษาโง่หรอก แต่เพราะชนชั ้นปกครองไทยอยากให้ โง่ต่างหาก ดังนั ้นเมื่อ นักศึกษาเริ่มคิดเองเป็ น และเริ่มเคลื่อนไหวทางสังคมหลังสมัย 14 ตุลา ชนชั ้นปกครองกลัวว่าจะปกป้ องอภิสิทธิ์ไม่ได้ จึงมี คาสัง่ ร่วมลงมาให้ สงั หารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และมีคาสัง่ ตามมาให้ เผาหนังสือที่อาจ ปลดแอกพวกเราจากความโง่ตามห้ องสมุดต่างๆ ด้ วย ในยุคโลกาภิวตั น์ ใครๆ เขาพูดกันว่าพลเมืองต้ องมีส่วนร่วมในการ ปกครอง ต้ องร่ วมตรวจสอบผู้แทน ต้ องมีประชาธิปไตย ต้ องคิดเองเป็ น และมีการเสนอมานานว่าควรปฏิรูปการศึกษาเพื่อ พัฒนานักศึกษา แต่ในหมู่นิสติ รุ่นต่างๆ ที่บ้าคลัง่ sotus การเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกคงไม่มีความหมาย น่าสงสารไม่ มีสมองก็คิดเองไม่เป็ น แล้ วคงไม่ร้ ูจกั เปลี่ยนวิธีปฏิบตั ิ T ย่อจาก tyranny ซึง่ แปลว่า ''การใช้ เผด็จการกดขี่ผ้ อู ื่น'' ระบบ sotus ใช้ วิธีการไร้ สาระของการกดขี่เพื่อความไร้ สาระ และเป็ นระบบที่นามาหนุนความคิดแบบอานาจนิยมกราบไหว้ ในสังคมภายนอก แต่เราไม่ควรลืมประวัติศาสตร์ ของเราเอง ในปี 2475, 2516 และ 2535 มวลชนชาวไทยรวมตัวกันล้ มระบบเผด็จการ และชนะ ดังนั ้นถ้ านิสิตนักศึกษารุ่นใหม่ต้องการ ล้ มเผด็จการของห้ องเชียร์ และรุ่นพี่ ก็คงต้ องเรี ยนบทเรี ยนจากอดีต คนหนุ่มสาวไทยสามารถล้ มเผด็จการได้ และเคย ยกเลิกระบบรุ่นพี่รุ่นน้ องในจุฬาฯ ด้ วย แต่ทาคนเดียวไม่ได้ ต้ องรวมตัวกันปฏิเสธความโง่ แล้ วพวกรุ่นพี่ที่ดเู หมือนจะมี อานาจล้ นฟ้ าก็จะกลายเป็ นมนุษย์น้อยที่น่าสงสารเท่านั ้นเอง ดีไม่ดีเขาอาจไหว้ เราเป็ นการขอบคุณก็ได้ เพราะเราสามารถ ปลดแอกความโง่จากเขาได้ สิ่งที่สาคัญคือ นิสิตต้ องทาเอง ไม่ใช่ไปหวังว่าคนอื่นอย่างผมหรื อใครที่ไหนจะทาให้ อย่าลืมว่า คนสามารถเอาแอกออกจากควายได้ แต่เนื่องจากควายเอาแอกออกเองไม่ได้ ควายจาต้ องเป็ นทาสของมนุษย์ตลอดกาล U มาจาก uncivilised ซึง่ แปลว่า ''ป่ าเถื่อน'' ไม่มีอารยธรรม การใช้ อานาจระหว่างรุ่นพี่กบั รุ่นน้ อง การทากิจกรรมไร้ สาระ การตะโกนในทานองว่า "คณะกูดีกว่าคณะมึง" การทาลายความเป็ นปั จเจกมนุษย์ และการทาลายมันสมองที่จะคิด เอง ล้ วนแต่เป็ นความป่ าเถื่อนไร้ อารยธรรม แม้ แต่สตั ว์ในป่ ายังมีอารยธรรมมากกว่าพวกบ้ า sotus เพราะสัตว์มนั คิดเองไม่ เป็ นตามธรรมชาติ เรายกโทษให้ มนั ได้ แถมมันไม่มีวนั จงใจโง่หรื อแกล้ งคนอื่นเหมือนพวกนิสติ sotus รู้ไหมว่าระบบ sotus นี ้คนไทยเอามาจากไหน? ลองคิดดูว่าที่ไหนไร้ อารยธรรมที่สดุ ในโลก คนกลุ่มไหนกาลังทาตัวเป็ น อันธพาลระดับโลกาภิวตั น์จนเกิดการเกลียดชังกันทัว่ ทุกแห่ง คนกลุ่มไหนพร้ อมจะกอบโกยขณะที่คนยากจนอดอยาก คน กลุ่มไหนฆ่าเด็กในนามของเสรี ภาพ .... ใช่ครับ ระบบ sotus มาจากส่วนบนของสังคมสหรัฐอเมริกาที่ล้าหลัง และไร้ อารย ธรรมที่สดุ พวก ''รักชาติไทย'' ทั ้งหลายว่าอย่างไรครับ? จะเดินตามก้ นสหรัฐเหมือนคนกวาดมูลต่อไปไหม?
S ตัวสุดท้ ายมาจากคาว่า stop it - ''เลิกเถิดเรื่ องโง่ๆ ไร้ สาระ'' เลิกเถิดเรื่ องการกดขี่กนั เองในหมู่นกั ศึกษา เลิกตะโกน บ้ าๆ เพื่อเชียร์ สิ่งที่ไม่น่าเชียร์ เลิกภูมิใจ และเคารพกราบไหว้ ในสิง่ น่าเบื่อย่าแย่ เลิกกลัวที่จะขัดคาสัง่ รุ่นพี่ รุ่นพี่เลิก กลัวที่ จะไม่ทาตามประเพณีโง่ๆ ต่อไป.... แล้ วถ้ าเลิกไปนิสิตจะใช้ เวลาทาอะไร? จัดการแสดงดนตรี จัดละคร ไปดูหนัง อ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ และ วารสาร สนใจปั ญหาสังคม สนใจปั ญหาการเมือง สนใจเรื่ องสิ่งแวดล้ อม คุยกับเพื่อน คุยกับคนในครอบครัว จู๋จี๋กบั แฟน ไปกินข้ าวอร่อยๆ ออกกาลังกาย ไปเที่ยว เขียนจดหมายมาวิจารณ์คนอย่างผมก็ได้ ระบบห้ องเชียร์ และ sotus มันน่าจะเป็ นฝั นร้ ายจากอดีตที่ไม่เป็ นจริง แต่ทกุ วันนี ้ ในหมู่คนหนุ่มสาวที่อ้างตัวว่าเป็ น กลุ่มชั ้นนา (cream of Thai society) มันเป็ นความจริง และแย่ยิ่งกว่าฝั นร้ ายอีก
อัม้ โนโกะ กับควำมดัดจริต (เถื่อน)ของสังคมไทย นุ่มนวล ยัพรำช (จาก นสพ เลี ้ยวซ้ าย ต.ค. ๕๖) ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเลือกเฉยเมยที่จะนาคนผิดมาลงโทษและสร้ างบรรทัดฐานใหม่ให้ เกิดขึ ้นในสังคม
ผลที่เกิดขึ ้นคือ
ความเละตุ้มเป๊ ะและความป่ าเถื่อนแบบไทยๆยังคงยืนเด่นทะมึนเป็ นภัยต่อไปประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต่อไป กรณี อั ้ม โนโกะ ไม่ใช่กรณีแรกที่ถกู รังแกด้ วยความคับแคบล้ าหลังอั ้นนี ้ และ หากไม่มีการจัดการปฏิรูปสังคมอย่างเป็ นระบบ อั ้ม โน โกะ คงไม่ใช่คนที่สดุ ท้ าย ในเวทีทางการเมืองเสื ้อแดงการปราศรัยที่เต็มไปด้ วยการเหยียดเพศดูเหมือนกลายเป็ นเรื่ องปกติ
มาดูซีกพรรค
ประชาธิปัตย์อนั นี ้ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อยู่ในสภาวะวิกฤติที่กู่ไม่กลับเสียด้ วยซ ้า เมื่อหัวหน้ าพรรคออกมาประณาม หัวหน้ าพรรคเพื่อไทย ด้ วยคาเหยียดและดูถกู ทางเพศ การถกเถียงทางการเมืองที่ถกู ปกคลุมไปด้ วยเรื่ องแบบนี ้ถือว่าเละ ตุ้มเป๊ ะจริงๆ พวกขวาจัดไม่พอใจเรื่ องการรณรงค์ของ อั ้ม โนโกะ นักศึกษาธรรมศาสตร์ ผ้ ซู ึ่งกล้ าท้ าท้ ายกฎระเบียบอันล้ าหลังของ มหาวิทยาลัย โดยการตั ้งคาถามเชิงประชดประชันเกี่ยวกับการใส่เครื่ องแบบนักศึกษา ซึง่ ได้ ลากไส้ ความจริงอันปั ญญา อ่อนออกมาหลายอย่าง เช่น อาจารย์ประจาคณะได้ สวมใส่เครื่องแบบนักศึกษาเพื่อรณรงค์เพื่อให้ นกั ศึกษาใส่เครื่ องแบบ โดยอ้ างว่าเพื่อสร้ างความเป็ นกันเอง แต่การรณรงค์ดงั กล่าวเต็มไปด้ วยกลิ่นอายของความอนุรักษ์ นิยม เน้ นความเป็ นเด็ก ที่ต้องเชื่อฟั งผู้ใหญ่ เชิดชูแนวความคิดแยกเขาแยกเราโดยการกล่าวว่าหลายคนไม่มีโอกาสใส่ชดุ นักศึกษา แทนที่จะตั ้ง
คาถามอย่างคนมีปัญญาว่าทาไมการศึกษาของประเทศเรายังไปไม่ทวั่ ถึง ทาไมเด็กไทยทุกคนไม่มีหลักประกันว่าพวกเขา เหล่านั ้นจะได้ รับโอกาสเล่าเรียนขั ้นสูงในระดับมหาวิทยาลัย อะไรคืออุปสรรคใหญ่ สถาบันแบบไหนที่เคยเป็ นอุปสรรคต่อ การรู้แจ้ งทางปั ญญาของสังคมไทย การรณรงค์แบบที่อาจารย์คณะวารสารเลือกแสดงออกได้ เดินไปสูก่ ารเน้ นความเป็ นพรรคพวก คลัง่ สถาบัน ส่งเสริม ระบบโซตัส ฯลฯ ถ้ าคณาจารย์ทั ้งหลายอยากสร้ างความเป็ นกันเอง ลดช่องว่างระหว่างผู้สอนกับนักศึกษา ควรจะเน้ น ความเป็ นมิตรทางสติปัญญาเหนือสิ่งอื่นใด ถกเถียงด้ วยเหตุผล ให้ สิทธิเสรี ภาพในการแสดงออก ส่งเสริมให้ นกั ศึกษาคิด นอกกรอบ ถ้ าอยากเป็ นแบบอย่างให้ นกั ศึกษาอาจารย์ทั ้งหลายก็ควรจะยืนขึ ้นต่อความไม่ถกู ต้ อง พิทกั ษ์ประชาธิปไตย วิจารณ์สถาบันที่เป็ นภัยต่อประชาธิปไตย
วิจารณ์คณะบดีที่หมอบคลานและเลียตูดต่อเผด็จการทหาร
กล้ ากระเทาะ
เปลือกความล้ าหลังของสังคมไทย ไม่ใช่มาทาตัวเป็ นเด็กๆโนเนะไม่ร้ ู จักโต ที่ต้องคอยให้ ผ้ ใู หญ่มาคอยสัง่ ให้ เดิน ให้ หมอบ ให้ คลานอยู่ร่ าไป การเคารพสิทธิซงึ่ กันและกันการมองว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีใครควรมีสิทธิออกกฎบังคับให้ คนทาตามอย่างไร้ เหตุผล ถือว่าเป็ นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีสถานะสูงกว่าความสัมพันธ์แบบจอมปลอมภายใต้ การกล่อมเกลาที่ว่า “อ่อนน้ อมถ่อมตน” ซึง่ เป็ นกรอบที่สร้ างขึ ้นมาเพื่อให้ ความชอบธรรมกับการใช้ อานาจแบบเถื่อนๆ ของผู้มีอานาจในสังคม หรื อผู้ใหญ่ทั ้งหลาย อนึง่ องค์ความรู้ที่รับใช้ มวลมนุษยชาติทั ้งหลายล้ วนแต่มีรากฐานมาจากการตั ้งคาถามต่อกรอบเดิมๆ ทั ้งสิ ้น อาจารย์ ในมหาลัยควรปกป้ องสิทธิเสรี ภาพในการแสดงออกและความคิด ไม่ใช่สืบสานเจตนารมณ์การเป็ นทาส ความหัวอ่อน ข่ม ให้ นกั ศึกษาเกรงกลัวต่อระเบียบประเพณี เพราะกรอบความคิดแบบนี ้นาไปสู่การคลัง่ ชาติ ป่ าเถื่อน ลดคุณค่าความเป็ น มนุษย์ในที่สดุ แนวทางที่ อั ้ม โนโก๊ ะ เลือกท้ าท้ ายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถือเป็ นเรื่ องเล็กและไม่มีความสาคัญเมื่อเทียบวัดกับ คาถามของเธอที่ส่งออกไป เช่น การถ่ายรูปกอดคอ รูปปั น้ ปรี ดี พนมยงค์ เพื่อท้ าทายที่คณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยที่ บังคับให้ นกั ศึกษาบูชาเซ่นไหว้ รูปปั น้
เหมือนไหว้ ผีไหว้ สางซึ่งเป็ นรูปแบบที่พวกอนุรักษ์นิยมชอบใช้ เพื่อบิดเบือน
ประวัติศาสตร์ และปิ ดหูปิดตาปิ ดปากนักศึกษาไม่ให้ ใช้ สมอง แทนที่จะเน้ นไปที่คณูปการของ ปรี ดี พนมยงค์ ผู้ซงึ่ เป็ นแกนนาคนสาคัญของคณะราษฎรที่เปลี่ยนแปลงการครองจาก ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบบประชาธิปไตย ผู้ต้องการให้ ประชาชนมีสิทธิเสรี ภาพเท่าเทียมกัน ซึง่ ความต้ องการ ของคณะราษฏรยังคงไม่ประสบความสาเร็จ ถ้ า อั ้ม โนโก๊ ะ กอดคอรูปปั น้ ปรี ดี พนมยงค์ แล้ วสู้เพื่อให้ มีสิทธิเสรีภาพที่ แท้ จริง ก็เป็ นเรื่ องที่ดีไม่มีเรื่ องที่เสียหายแต่อย่างใดไม่ว่าจะคานวนจากมุมมองไหนๆ แถมยังไม่สร้ างความเดือดร้ อนให้ ใครอีกด้ วย ในทางกลับกันผู้บริหารธรรมศาสตร์ รุ่นปั จจุบนั สร้ างความหม่นหมองหลายครัง้ หลายคลาให้ กบั มหาวิทยาลัย เช่น รับใช้ เผด็จการ หรื อ การออกมาให้ ทศั นะที่สร้ างความชอบธรรมให้ กบั ฝ่ ายอนุรักษ์นิยม เป็ นต้ น
ในกรณีชดุ นักศึกษานั ้น
เอาเข้ าจริ งมันก็เป็ นเครื่ องมือในการควบคุมนักศึกษาเท่านั ้น
การตีกนั ของนักศึกษาที่ใส่
เครื่ องแบบต่างกันก็มีให้ เห็นทุกๆปี ครูที่สงั่ ให้ นกั ศึกษาใส่เครื่ องแบบเข้ าเรี ยนในวิชาตนเองนั ้นก็น่าสมเพช แทนที่จะใช้ พลังงานไปค้ นคว้ าหาเทคนิคหรื อความรู้ใหม่ๆมาเสนอแก่นกั ศึกษา
กลับเลื อกที่จะระเบียบวินยั อันล้ าหลังมาใช้ กบั
นักศึกษาแทน ในภาพกว้ างของสังคม กองทัพไทยก็ใส่เครื่องแบบแต่สถาบันนี ้ทาลายประชาธิปไตยซ ้าแล้ วซ ้าเล่า สร้ าง ความเสียหายให้ กบั ประเทศชาติไปเท่าไหร่ ? ตารวจก็ใส่เครื่ องแบบแล้ วรี ดไถชาวบ้ านชาวช่อง พระที่ห่มจีวอลก็หลอกต้ ม คนไปเท่าไหร่? อะไรคือแก่นอะไรคือเปลือก? เอาเข้ าจริ งๆ เครื่ องแบบคือเครื่ องมือที่กดขี่ ยกตนข่มท่าน ควบคุม และ แสวงหาผลประโยชน์จากคนที่ด้อยกว่าเท่านั ้นเอง อาจารย์ที่คลัง่ เครื่ องแบบลอกเปลือกออกมาดูกเ็ ป็ นเพียงแค่พนักงานส่ง เอกสารเท่านั ้นแหละ
เพราะไร้ วฒ ุ ภิ าวะและความสร้ างสรรค์ซงึ่ เป็ นคุณสมบัติพื ้นฐานของคนที่ประกอบอาชีพในสาขา
การศึกษา ระบบการศึกษาไทยเน้ นเปลือกมานานพอถามหาแก่นแล้ วหาทางไปไม่เป็ น เพราะ “กลวง” มานาน นอกจาก เพิม่ กฎเกณฑ์และความเถื่อนในการบังคับใช้ นักศึกษาในมหาวิทยานั ้นส่วนใหญ่อายุ 18 ปี ขึ ้น มีสิทธิในการเลือกผู้นาประเทศ เพราะถือว่าเป็ นผู้ใหญ่แล้ ว ฉะนั ้น การที่เขาเลือกไม่ใส่ชดุ นักศึกษาก็เป็ นสิทธิอนั ปกติสามัญไม่เป็ นภัยใดๆ การที่บรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีทศั นะคติ ว่านักศึกษานั ้นเป็ นเด็กอันนั ้นแหละเป็ นภัยและเป็ นอุปสรรคต่อความก้ าวหน้ าทางความคิดของสังคมโดยรวม
ความคิด
ความสร้ างสรรค์ใหม่ๆก็เกิดขึ ้นไม่ได้ ใครตั ้งคาถามสามัญๆเกี่ยวกับความจริงในสังคมไทยก็จะโดน ม.112 ติดคุก ความสร้ างสรรค์ที่อยู่ในตัวประชาชนคน ไทยถูกกดทับไว้ ไม่ได้ นามาสรรสร้ างสังคมนั ้นสูญเสียเป็ นมูลค่าเท่าไหร่แล้ ว สังคมเราจะต้ องถอยหลังไปเท่าไหร่กนั ? ตอนนี ้ เราเห็นถ้ อยคาโกหกลอยอยู่เต็มไปหมด คนที่ไม่ทาอะไรเลยถูกเชิดชูว่าเป็ นคนขยัน สร้ างสรรค์ คนที่ทารัฐประหารและเข่น ฆ่าประชาชนถูกเสนอว่าเป็ นเสาหลักของสังคม ฯลฯ
หลังจากที่เขียนบทความนี ้ไปสองเดือน อั ้ม โนโกะ และเพื่อนพยายามจะดึงธงชาติลง และนาธงดาขึ ้น ที่ตกึ โดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเป็ นการประท้ วงอธิการบดี ที่ออกมาประกาศว่านายกรัฐมนตรี ไทย “ไม่ต้องมาจากการ เลือกตั ้ง” ซึง่ ขัดกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยโดยสิ ้นเชิง เราขอสนับสนุนและให้ กาลังใจกับ อั ้ม โนโกะ ในการประท้ วงครั ้ง นั ้น
×
Report "การศึกษาภายใต้ทุนนิยม"
Your name
Email
Reason
-Select Reason-
Pornographic
Defamatory
Illegal/Unlawful
Spam
Other Terms Of Service Violation
File a copyright complaint
Description
×
Sign In
Email
Password
Remember me
Forgot password?
Sign In
Our partners will collect data and use cookies for ad personalization and measurement.
Learn how we and our ad partner Google, collect and use data
.
Agree & close